วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

 ความเอาใจใส่  

 ความเอาใจใส่
การเอาใจใส่หรือการให้กำลังใจ (Stroke)
 มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดต่างก็ต้องการกำลังใจด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อกัน เราทุกคนได้เรียนรู้ในการให้กำลังใจและได้รับกำลังใจมาตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยเริ่มมาจากสัมพันธภาพภายในครอบครัว เช่น การอุ้มชู กอดรัด และคำพูดที่สร้างเสริมกำลังใจ เมื่อแต่ละบุคคลเจริญเติบโตขึ้นก็รู้จักพัฒนาการเอาใจใส่ให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น เช่นยามเมื่อเพื่อนมีทุกข์เพียงแต่การจับมือก็สามารถสื่อความหมายของการถ่ายทอดความรู้สึกที่เห็นใจได้ดียิ่งกว่าคำพูดเสียอีก

            การเอาใจใส่ แบ่งออกเป็น

            ๑. การเอาใจใส่ทางบวก (Positive Strokes) หมายถึง การกระทำที่ทำให้ผู้รับมีความรู้สึกดีขึ้น ได้แก่ คำชมเชย กิริยาท่าทางที่สื่อสารความหมายที่ทำให้ผู้รับแปลความหมายได้ว่าคุณเป็นคนดี หรือ คุณเป็นคนใช้ได้ (You're O.K.) เช่น “คุณนี่พิมพ์งานดีจริงไม่มีผิดเลย”

            ๒. การเอาใจใส่ทางลบ (Negative Strokes) หมายถึง การกระทำที่ทำให้ผู้รับมีความรู้สึกว่าตนเองไม่ดี ไม่มีคุณค่า (You're not O.K.) ได้แก่ คำตำหนิ เช่น “คุณนี่แนะนำไปหลายครั้งแล้วก็ยังคงพิมพ์งานผิดอยู่อีก”

            ๓. การเอาใจใส่ทางบวกหรือทางลบอย่างมีเงื่อนไข (Conditioned Strokes) หมายถึง การกระทำในลักษณะที่ให้กำลังใจหรือลดกำลังใจ เพราะผู้รับได้ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามความประสงค์ของผู้ให้หรือลดกำลังใจ ตัวอย่าง การเอาใจใส่ทางบวก ได้แก่ “คุณดวงใจงานที่คุณทำเสนอขึ้นมาเรียบร้อยดีจริง จึงขอมอบปากกาให้เป็นรางวัล” การเอาใจใส่ทางลบ ได้แก่ “นี้คุณเสนองานขึ้นมาแต่ละครั้งมีแต่ผิด ๆ พลาด ๆ เห็นท่าจะต้องย้ายให้ไปอยู่แผนกอื่น”

            ๔. การเอาใจใส่ทางบวกหรือทางลบอย่างไม่มีเงื่อนไข(Unconditioned Strokes) หมายถึง การกระทำหรือการแสดงออกในลักษณะที่ให้หรือลดกำลังใจ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้รับ เช่น “ดีใจจังเลยที่ได้พบคุณวันนี้” หรือ “คุณนี่อยู่ที่ไหนวุ่นที่นั่น”

            ๕. การเอาใจใส่ที่หลอกลวง (Plastic Strokes) หมายถึง การกระทำที่ให้กำลังใจแด่ผู้ให้อย่างเสแสร้ง ไม่ได้ให้จากใจจริง เช่น แกล้งเยินยอ หรือแกล้งชม

            ๖. การเอาใจใส่ที่เป็นพิธีการ (Ritual Strokes) หมายถึง การกระทำดีต่าง ๆ เพียงเพื่อเป็นมารยาทในสังคม หรือเพื่อดำเนินสัมพันธภาพของบุคคลในสังคม เช่น การจับมือกัน การโค้ง การไหว้ การทักทายถามถึงความทุกข์สุขซึ่งกันและกันในระหว่างที่พบกันในสังคม

          การเอาใจใส่จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้การทำงานบรรลุจุดมุ่งหมายด้วยดี และผู้ที่ร่วมทำงานก็มีความสุขและรู้สึกว่าตนนั้นมีคุณค่าแก่องค์การ เช่น เมื่อหัวหน้างานมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปปฏิบัติผู้ใต้บังคับบัญชาก็นำไปปฏิบัติด้วยความตั้งใจ และผลงานสำเร็จด้วยดี หัวหน้างานก็กล่าวชมว่า “คุณทำงานได้เยี่ยมมาก” หรือเอามือมาตบไหล่แล้ว กล่าวว่า “เยี่ยมมาก” พฤติกรรมการเอาใจใส่ของหัวหน้าดังกล่าวมีผลทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปลื้มใจ เกิดความสุขและสนุกที่จะทำงาน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเอาใจใส่ หมายถึง

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

นาฬิกาเรือนแรกของโลก

นาฬิกาเรือนแรกของโลก
 เวลา : ความหมาย

        หากเราขอให้ใครอธิบายความหมายของคำว่า เวลา เราจะได้รับคำตอบต่างๆ นานา เช่น
นักชีววิทยาคิดว่า " เวลา คือ ปัจจัยหนึ่งที่กำหนดพฤติกรรมของสัตว์และพืชให้ดำเนินไปอย่างสมดุลกับธรรมชาติ "
นักฟิสิกส์คิดว่า " เวลา คือ มิติหนึ่งของจักรวาล "
แต่ในมุมมองของคนทั่วไป คิดว่า " เวลา คือ ตัวเลขที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกา "

        ไม่เพียงคนในยุคปัจจุบันเท่านั้นที่ครุ่นคิดหาความหมายของเวลา แม้แต่คนในยุคโบราณก็ได้เคยศึกษาธรรมชาติของเวลาเช่นกัน เช่นเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อนนี้ เมื่อชาวบาบิโลนเห็นดาวเคราะห์เคลื่อนที่ เห็นฤดูกาลเปลี่ยนเห็นกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืน เขาก็เริ่มรู้ความหมายของเวลา จึงเรียกระยะเวลาที่ฤดูเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝน แล้วเข้าฤดูหนาว จนกระทั่งกลับเข้าสู่ฤดูร้อนอีกครั้งหนึ่งว่าหนึ่งปี และเรียกระยะเวลาที่เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน แล้วกลับสู่กลางวันอีกว่า หนึ่งวัน
( สุทัศน์ ยกส้าน. 2544: 159 )


เขตเวลาโลก / เขตเวลามาตรฐาน

        โลกแบ่งเขตเวลาออกเป็น 24 เขตเวลา โดยใช้เส้นลองติจูดแบ่งเขตต่างๆ บนแผนที่ นับเริ่มต้นจากเมืองกรีนวิช ( Greenwish ) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยที่เขตเวลาที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองกรีนวิช เวลาจะเร็วกว่า 1 ชั่วโมง ส่วนเขตเวลาที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองกรีนวิชเวลาจะช้ากว่า 1 ชั่วโมง
        ส่วนเวลาในประเทศไทยนั้น ในสมัยโบราณคนไทยกำหนดเวลาอย่างคร่าวๆ คือ ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นเรียกว่า ย่ำรุ่ง เวลาดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะพอดีเรียกว่า เที่ยงวัน และ เวลาดวงอาทิตย์ตกเรียกว่า ย่ำค่ำ ต่อมาได้มีการจัดตั้งกรมอุทกศาสตร์ และมีนาฬิกาใช้ จึงมีการกำหนดเวลาให้เร็วกว่าเวลาที่เมืองกรีนวิช 6 ชั่วโมง 41นาที 58.2 วินาที
        ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2462 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการประชุมว่าด้วยอุทกศาสตร์ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รัฐบาลไทยได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเวลาที่ใช้สำหรับประเทศต่างๆ ให้นับห่างกันเพียงกึ่งชั่วโมง เพื่อให้สะดวกในการคิดคำนวณ และได้กำหนดให้เมืองกรีนวิช กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นจุดแห่งการกำหนด และเรียกว่า เวลามาตรฐานกรีนวิช ( Greenwish Mean Time ) ดังนั้นประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนมาใช้เวลามาตรฐานเป็นเวลามาตรฐานของประเทศไทย โดยเป็นเวลาก่อนเวลามาตรฐานกรีนวิช 7 ชั่วโมงตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2463 เป็นต้นมา


ตำนาน… แห่งสื่อบอกเวลา

        ในสมัยโบราณมนุษย์ยังไม่มีนาฬิกาใช้ การดำเนินชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ ดวงอาทิตย์จึงเป็นนาฬิกาเรือนแรกที่มนุษย์รู้จัก นักประวัติศาสตร์ชื่อ Herodotus ได้บันทึกไว้ว่า ประมาณ 3,500 ปีก่อน มนุษย์รู้จักใช้ นาฬิกาแดด ซึ่งนับว่าเป็นนาฬิกาเรือนแรกของโลก โดยสามารถอ่านเวลาได้จากเงาที่ตกทอดลงบนขีดเครื่องหมาย

        ต่อมาชาวกรีกโบราณรู้จักพัฒนา นาฬิกาน้ำ ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่านาฬิกาแดด เรียกว่า clepsydra ( คำนี้เป็นคำสนธิที่มีรากศัพท์มาจากคำว่า clep ซึ่งแปลว่า ขโมย และคำ sydra ที่แปลว่า น้ำ )
เพราะนาฬิกานี้ทำงานโดยอาศัยหลักที่ว่า " ภาชนะดินเผาที่มีน้ำบรรจุเต็มเวลาถูกเจาะที่ก้นน้ำจะไหลออกจากภาชนะ
ทีละน้อยๆ เหมือนการขโมยน้ำ " ดังนั้นชาวกรีกโบราณจึงได้กำหนดระยะเวลาที่น้ำไหลออกจนหมดภาชนะว่า
1 clepsydra ( สุทัศน์ ยกส้าน. 2544: 159 ) แต่นาฬิกาน้ำนี้ต้องมีการเติมน้ำใหม่ทุกครั้งที่หมดเวลา 1 clepsydra และในฤดูหนาวน้ำจะแข็งตัวทำให้ไม่สามารถใช้นาฬิกาได้

         จากข้อจำกัดนี้ทำให้มีการประดิษฐ์ นาฬิกาทราย ขึ้นมา โดยการนำทรายมาบรรจุในส่วนบนของภาชนะที่ทำด้วยแก้ว แล้วปล่อยให้เม็ดทรายเคลื่อนผ่านคอคอดเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนบนกับส่วนล่างของภาชนะจนหมด นาฬิกาทรายที่ใช้ได้สะดวกนี้ ทำให้บาทหลวงในคริสตศาสนาหันมาใช้นาฬิกาทรายในการจับเวลาสวดมนต์วันอาทิตย์ แทนนาฬิกาน้ำในเวลาต่อมา


        ใน ค.ศ. 1364 Giovanni de Dondi เป็นบุคคลแรกที่สร้าง นาฬิกาแบบมีเข็มบอกเวลาเป็นชั่วโมง แต่นาฬิกาของเขามีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีลูกศรบอกตำแหน่งของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวงด้วย
Peter Henlein ช่างทำกุญแจชาวเยอรมันเป็นผู้สร้าง นาฬิกาเรือนแรกของโลก ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1500 แต่นาฬิกายังคงมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากไม่ต่างจากเดิมเท่าใดนัก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1500 Peter Henlein ได้สร้าง นาฬิกาที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา คือ หนักเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น
และในปี ค.ศ. 1641 กาลิเลโอ ได้สังเกตการแกว่งของตะเกียง เขาพบว่าการแกว่งครบรอบของตะเกียงแต่ละครั้งใช้เวลาเท่ากันเสมอ ไม่ว่าจะแกว่งมากหรือน้อยเพียงใด กาลิเลโอ จึงมอบหมายให้บุตรชายชื่อ Vincenzio Galilei สร้างนาฬิกาโดยใช้การแกว่งของลูกตุ้มเป็นเครื่องควบคุมเวลา เรียกว่า นาฬิกาเพนดูลัม ( Pendulum ) ซึ่งสามารถเดินได้อย่างเที่ยงตรงพอควร


        ในปี ค.ศ.1657 Christian Huygens นักวิทยาศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ประดิษฐ์นาฬิกาโดยใช้หลักของ Pendulum ควบคุมการทำงานโดยมีส่วนประกอบคือ ล้อ ฟันเฟือง และลวดสปริง นาฬิกาแบบนี้สามารถวัดเวลาได้เที่ยงตรงมากกว่านาฬิกาเพนดูลัม


        ในปี ค.ศ.1929 Warren Morrison ได้ประดิษฐ์ นาฬิกาควอตซ์ ขึ้นเฉพาะที่เป็น นาฬิกาข้อมือ นาฬิกาประเภทนี้เที่ยงตรงมาก และในปี ค.ศ.1980 เป็นช่วงเวลาที่เริ่มนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ มีการประดิษฐ์ นาฬิกาโดยใช้ชิป ( chip ) เป็นส่วนประกอบเพิ่มเติมในกลไกของนาฬิกา ซึ่งนอกจากจะบอกเวลาแล้วยังสามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็น และสามารถใช้เป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย หลังจากนั้นเทคโนโลยีในด้านการประดิษฐ์นาฬิกาได้ก้าวหน้าเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้เรามี นาฬิกาคอมพิวเตอร์ ใช้กันแล้ว


        สำหรับประเทศไทย คนไทยประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาใช้เองเมื่อร้อยปีมาแล้ว คือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงมีวลีที่กำชับรับสั่งกับข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด มีความว่า " สยามจะอยู่รอด รักษาความเป็นไทไม่เป็นขี้ข้าฝรั่ง จะต้องทำให้คนไทยเชื่อมั่น และต่างชาติเชื่อว่าคนไทยนี้เก่ง " จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้ากรมอุทกศาสตร์ท่านแรกของสยาม ชื่อ Captain Loftus จัดทำ นาฬิกาแดด ไว้ให้เป็นเครื่องกำหนดหมายบอกเวลา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ที่ลานหน้าพระอุโบสถวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจนทุกวันนี้


เวลา…นาฬิกา…เป็นสิ่งมีค่า
เวลาเป็นของมีค่า อย่าฆ่าเวลาให้สิ้นเปลือง เสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นาฬิกาเรือนแรกของโลก

ผู้ประดิษฐ์มือถือเครื่องแรกของโลก

ผู้ประดิษฐ์มือถือเครื่องแรกของโลก
โทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกถูกผลิตและออกแสดงในปี ค.ศ.1973 โดย มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) นักประดิษฐ์จากบริษัทโมโตโรลาเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ

1.1 กิโลกรัม ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก


ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1973 เขาเป็นวิศวกรอยู่ที่บริษัทโมโตโรล่า และห้องแล็ปของเขาก็สร้างนวัตกรรมให้กับมวลมนุษยชาติ นั่นคือ การเปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เป็นรายแรกของโลกเพราะในใจของเขารู้ดีว่าคนเราต้องการการสื่อสาร และการสื่อสารไม่เคยหยุดอยู่กับที ฉะนั้นคนไปที่ไหน ก็ต้องสื่อสารได้ตลอด และการสื่อสารนั้นยังต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยและสิ่งที่น่าคิดคือ ในวันก่อนที่เขาจะโชว์มือถือหนักกว่า 3 กิโลกกรัมต่อสายตาชาวโลกนั้น คนทั่วโลกยังรู้จักแต่ชื่อ “โทรศัพท์ติดรถยนต์ (Carphone)” ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายเมื่อสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่องโทรศัพท์ได้ถูกพัฒนาให้ไปติดที่รถ ใช้กับแพทย์ หรือ บริการส่งสินค้าตามบ้าน
           เขายืนทดลองโทรศัพท์จากมือถือเครื่องแรกที่ถนนสายที่ 6 หน้าโรงแรมฮิลตัน ใจกลางเมืองนิวยอร์ก และคนแรกที่เขาโทรหาก็คือ “โจ แองเกิล” วิศวกรคู่แข่งที่บริษัท AT&T โดยเขาพูดสั้นๆ ว่าโทรมาจากมือถือ โทรศัพท์ที่ใช้มือถือจริงๆ ต่อจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายเลย จากนั้นเขายังเดินยกมือถือคุยต่อไป โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังข้ามถนนอยู่ ซึ่งเพื่อนของเขาก็ดึงตัวเอาไว้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับเขาคนแรก แต่วันนี้ผู้คนทั่วโลกก็ได้รับประสบการณ์นี้อย่างเคยชินไปแล้ว
ต่อจากนั้นมา เขาก็ได้เปิดตัวมือถือต้นแบบต่อหน้าสื่อมวลชน เมื่อสื่อทดลองใช้ โดยโทรไปต่างประเทศ ก็ต้องตกตะลึงว่าทำไมสิ่งของเครื่องเล็กๆ ไร้สาย แต่สามารถโทรข้ามโลกใบใหญ่ๆ ของเราได้


โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกเคาะขายที่ 1.3 แสนบาทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

เอ็ด แซนเดอร์ (Ed Zander) ประธานและซีอีโอโมโตโรลา (Motorola Inc.) โชว์ตัว Motorola DynaTAC 8000 ที่ถูกเปิดตลาดอย่างเป็นทางการเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ระหว่างงาน 2007 International Consumer Electronics Show เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2007


       รู้หรือไม่ว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของโลกถูกประเดิมจำหน่ายแก่สาธารณชนในวันที่ 13 มีนาคม 1984 ตามเวลาในสหรัฐฯ (ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม 2527 ในประเทศไทย) โดยวันนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันรายหนึ่งควักกระเป๋าซื้อ Motorola DynaTAC 8000X ด้วยราคา 3,995 เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากคำนวณค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบันจะพบว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกของโลกมีมูลค่ามากกว่า 1.3 แสนบาท

Motorola DynaTAC 8000X วางจำหน่ายที่ 3,995 เหรียญสหรัฐในวันที่ 13 มีนาคมเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
น่าเสียดายที่ไม่พบข้อมูลว่าใครคือลูกค้ารายแรกที่ซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่น Motorola DynaTAC 8000X ไปใช้งานในครั้งนั้น โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าเป็นการซื้อเครื่องในเขตชิคาโก บัลติมอร์ หรือวอชิงตัน

รูปแบบงานโฆษณาของ Motorola DynaTAC 8000X

การมือโทรศัพท์มือถือไว้ครอบครองในยุคนั้นถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องเสริมภาพลักษณ์สุดเจ๋ง ของเล่นคนรวยชิ้นนี้สามารถทำให้เจ้าของเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ดี โดย Motorola DynaTAC 8000X มีขนาด 13 x 1.75 x 3.5 นิ้ว น้ำหนักเครื่อง 28 ออนซ์ ซึ่งความใหญ่โตและน้ำหนักระดับนี้ทำให้ผู้พัฒนา 8000X แอบตั้งชื่อเรียกโทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ว่า "The Brick" หรือก้อนอิฐชิ้นโต

ของเล่นคนรวยในยุค 80

แน่นอนว่า Motorola DynaTAC 8000X ไม่ได้มาพร้อมเวลาใช้งานมาราธอนเหมือนสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน โดยผู้ใช้สามารถคุยโทรศัพท์ได้ราวครึ่งชั่วโมงเท่านั้นต่อการชาร์จแบตเตอรี่ 1 ครั้ง
     
       ในมุมของราคา การที่ Motorola DynaTAC 8000X วางจำหน่ายที่ 3,995 เหรียญสหรัฐนั้นถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพในยุคนั้น โดยมูลค่านี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อปีของชาวสหรัฐฯ ในปี 2014 ที่มีมูลค่า 9,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.9 แสนบาท
ย้อนอดีต โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกเคาะขายที่ 1.3 แสนบาทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

กำเนิดคอมพิวเตอร์

กำเนิดคอมพิวเตอร์
ถ้าเรามองคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคำนวณ อุปกรณ์ที่มนุษย์รู้จักทำขึ้นเพื่อใช้ในการคำนวณแทนการนับนิ้วมือ นับไม้ติ้ว นับเมล็ดละหุ่ง หรือสิ่งอื่นใดเท่าที่จะหาได้ ตามที่มีการบันทึกไว้ในหลักฐานคือเครื่องมือคำนวณของชาวจีน ได้แก่ลูกคิด และเป็นเครื่องมือต้นแบบที่อมตะตามหลักการคิดคำนวณจนกลายเป็นเครื่องมือคำนวณชนิดต่างๆในปัจจุบัน และตัวลูกคิดเองก็ยังคงถูกใช้งานมาตั้งแต่ 2600 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึงปัจจุบัน
ลูกคิด

วิธิใช้งานลูกคิด คลิก http://www.lukkidthai.com/Lukkid/abacus.html

ทางด้านซีกโลกตะวันตก ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องทุนแรงในการคิดคำนวณด้วยเหมือนกัน จะเป็นเพราะความบังเอิญหรือมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างชาวจีนกับชาติตะวันตก ก็ไม่ทราบได้ (ใครทราบช่วยบอกด้วย) ในปี พ.ศ. 2158 (ก่อนเราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ประมาณ 152 ปี) นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบันต่อมาอีกประมาณ 14 ปี คือในปี พ.ศ.2173วิลเลียม ออตเทรต        ( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ                ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก


Slide Rule

12 ปีต่อมา ประมาณ พ.ศ.2185 บุคคลผู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นชื่อของโปรแกรม คือ เบลส์ ปาสคาล (Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลักการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด (มีการทดเหมือนลูกคิดของชาวจีน ต่างกันที่เปลี่ยนเป็นฟันเฟือง ใครไม่รู้จักฟันเฟืองให้ดูที่ล้อจักรยาน ในปัจจุบันจะมีจักรยานที่มีเกียร์ทดรอบ ลักษณะคล้ายๆกัน)


Pascal Calculato

การพัฒนายังคงดำเนินต่อมา ในปี พ.ศ.2214 กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number) ซึ่งเป็นการค้นพบที่ก่อให้เกิดการพัฒนาระบบดิจิตอลในปัจจุบัน


Gottfried Wilhelm Leibniz

ในเวลาเดียวกันทางด้านอุปกรณ์ป้อนและบันทึกข้อมูลก็พัฒนาควบคู่กันมา ในปี  พ.ศ. 2288 โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ


บัตรเจาะรู

หลังจากที่เราเสียกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ก็เริ่มรวบรวมบ้านเมือง จนถึงราวๆในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในราวปีพ.ศ.2365 ประเทศไทยได้ชื่นชมกับ พระองค์เจ้านพวงศ์ พระราชโอรสพระองค์ที่ 1 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ธิดาของพระอินทรอำไพ (สมเด็จเจ้าฟ้าทัศไภย พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีกับ กรมหลวงบริจาภักดี ศรีสุดารักษ์) ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 4 แรม 10 ค่ำ ปีมะเมียจัตวาศก จ.ศ. 1184 (6 มีนาคม พ.ศ. 2365) พระองค์เจ้านพวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสหนึ่งในสองพระองค์ที่ประสูติก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (อีกพระองค์หนึ่งคือ พระองค์เจ้าสุประดิษฐ์) ในขณะที่ชาติตะวันตก ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงได้รับการยกย่องว่า แบบเบจ เป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกเริ่ม  เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก


Difference Engine

พ.ศ.2393  (ราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 3 ปี  คือ วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396) ทางฝรั่งซีกโลกตะวันตก โดยนาย ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)
ช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สอง กำลังก่อตัวในยุโรป กองทหารเยอรมันกำลังเดินทัพเข้าสู่ออสเตรีย นั่นเอง ราวปี พ.ศ. 2480  ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์


Atansof



Berry



ABC Computer

พ.ศ.2487  ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น
พ.ศ.2485-2495 มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่องENIAC(Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู
ENIAC

พ.ศ.2492  ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ (Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
พ.ศ.2492 ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
EDVAC
(first stored program computer)

พ.ศ.2496-2497  บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620
หลอดสูญญากาศ

ทรานซิสเตอร์

พ.ศ.2508 วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม (Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง
IC

พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)
Microprocessor

พ.ศ.2506 ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพๆ
พ.ศ.2507  เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กำเนิดคอมพิวเตอร์

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: The Siam Commercial Bank Public Company Limited ชื่อย่อ: SCB)[7] เป็นธนาคารไทยแห่งแรกในประเทศ ก่อตั้งโดยพระบรมราชานุญาต ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2449 ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 1270 สาขา

เนื้อหา  [ซ่อน]
1 ประวัติ
2 ผลิตภัณฑ์ของธนาคารไทยพาณิชย์
3 ลำดับเหตุการณ์สำคัญ
4 กิจการในเครือ
5 กรรมการบริษัท[12]
6 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
7 แหล่งข้อมูลอื่น
8 อ้างอิง
ประวัติ[แก้]
กิจการของธนาคารเริ่มต้นขึ้นในนาม “บุคคลัภย์” (Book Club) ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2447 ก่อตั้งโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เนื่องจากขณะนั้นทรงเชื่อว่า สยามประเทศมีความจำเป็น ต้องมีระบบการเงินธนาคาร เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศ หลังจากบุคคลัภย์ขยายตัวทางธุรกิจขึ้นเป็นลำดับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานอำนาจพิเศษ ให้จัดตั้ง “บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” เพื่อประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นทางการ นับแต่วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นทางการ นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน[8]

ผลิตภัณฑ์ของธนาคารไทยพาณิชย์[แก้]
กลุ่มลูกค้าบุคคล • ผลิตภัณฑ์เงินฝาก • ผลิตภัณฑ์การลงทุน • ผลิตภัณฑ์ประกัน • ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ • ผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต • รับชำระเงินและเติมเงิน • ธนาคารทางอิเล็กทรอนิกส์ • บริการเงินโอนในประเทศ • บริการเงินโอนต่างประเทศ • แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ • เช็ค • บริการตู้นิรภัย [9]

กลุ่มลูกค้าธุรกิจ • สินเชื่อเพื่อลูกค้าธุรกิจ • เรียกเก็บและชำระเงิน • การค้าต่างประเทศและเงินโอน • การลงทุนและประกัน • แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ • ธนาคารออนไลน์เพื่อธุรกิจ • เงินฝากสำหรับธุรกิจ • SCB SME Business Buddy Account • ธนาคารทางโทรศัพท์เพื่อธุรกิจ [10]

กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ • สินเชื่อธุรกิจ • เรียกเก็บและชำระเงิน • การค้าต่างประเทศและเงินโอน • การลงทุน • บริการอื่นๆ • ทีมตามประเภทอุตสาหกรรม • สำนักงานต่างประเทศ [11]

ลำดับเหตุการณ์สำคัญ[แก้]
พ.ศ. 2449 - ธนาคารฯ เปิดทำการ ในที่ทำการเดิมของบุคคลัภย์ ตำบลบ้านหม้อ อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร
พ.ศ. 2453 - ธนาคารฯ ย้ายสำนักงานไปยัง ตำบลตลาดน้อย อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร
พ.ศ. 2455 - ธนาคารฯ เปิดสาขาแห่งแรก ย่านท่าน้ำราชวงศ์ ตำบลสำเพ็ง อำเภอสัมพันธวงศ์ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม
พ.ศ. 2463 - ธนาคารฯ เปิดสาขาแห่งแรก ในส่วนภูมิภาค คือสาขาทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันเป็นอาคารคลังพัสดุ ในย่านสถานีชุมทางทุ่งสง) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม
พ.ศ. 2470 - ธนาคารฯ เปิดสาขาในส่วนภูมิภาคแห่งที่สอง คือสาขาเชียงใหม่ ข้างโรงแรมรถไฟเชียงใหม่ ซึ่งอยู่หน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2473 - ธนาคารฯ เปิดสาขาในส่วนภูมิภาคแห่งที่สาม คือสาขาลำปาง จังหวัดลำปาง นับเป็นสาขาภูมิภาคที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงให้บริการในที่ทำการเดิมมาจนถึงทุกวันนี้
พ.ศ. 2476 - ธนาคารฯ ย้ายที่ทำการสาขาเชียงใหม่ เข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. 2482 - ธนาคารฯ เปลี่ยนชื่อภาษาไทย จากแบงก์สยามกัมมาจล เป็นธนาคารไทยพาณิชย์ และเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษจาก The Siam Commercial Bank, Limited เป็น The Thai Commercial Bank, Limited ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม เป็นต้นไป
พ.ศ. 2485 - ธนาคารฯ แต่งตั้ง นายเล้ง ศรีสมวงศ์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ชาวไทยคนแรก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2486 - ธนาคารฯ เปิดสาขาในส่วนภูมิภาคแห่งที่สี่ คือสาขานครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้บริการพ่อค้าประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พ.ศ. 2489 - ธนาคารฯ เปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษ กลับมาเป็น The Siam Commercial Bank, Limited
พ.ศ. 2505 - ธนาคารฯ เริ่มใช้เครื่องลงบัญชีเดินสะพัด โพสต์-โทรนิก ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่นับว่าทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม
พ.ศ. 2516 - ธนาคารฯ เริ่มรับพนักงานสตรีเข้าปฏิบัติงานเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2525 - ธนาคารฯ เริ่มให้บริการฝากและถอนต่างสาขา กับบัญชีเงินฝากครบทุกประเภท เป็นแห่งแรกในประเทศไทย
พ.ศ. 2526 - ธนาคารฯ เริ่มให้บริการเงินด่วน ด้วยเครื่องเอทีเอ็ม เป็นครั้งแรก และแห่งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม เป็นต้นไป
พ.ศ. 2531 - ธนาคารฯ มีปริมาณสินทรัพย์รวม 103,298.1 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นปีดังกล่าว
พ.ศ. 2532–2535 - ธนาคารฯ ได้รับรางวัล "ธนาคารแห่งปี" (Bank of the Year) จากนิตยสารการเงินธนาคาร เป็นเวลา 4 ปีซ้อน ในฐานะที่เป็นธนาคารพาณิชย์ไทย ที่มีผลงานโดดเด่นอย่างรอบด้าน รวมทั้งการขยายตัวของธนาคารฯ และการเตรียมพร้อมรองรับความเจริญในอนาคต
พ.ศ. 2536 - ธนาคารฯ เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป โดยใช้ชื่อภาษาไทยว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และชื่อภาษาอังกฤษว่า Siam Commercial Bank Public Company Limited
พ.ศ. 2539 - ธนาคารฯ ย้ายที่ทำการสำนักงานใหญ่ จากถนนชิดลม ไปยังอาคารเอสซีบีพาร์กพลาซา บนถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม เป็นต้นไป
พ.ศ. 2541-2542 "ก้าวกล้าฝ่ามรสุม" - สืบเนื่องจากวิกฤตทางการเงินในเอเชีย เมื่อปี พ.ศ. 2540 ส่งผลต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจไทยโดยรวม ที่ซบเซาลงอย่างหนัก และการดำเนินมาตรการที่เข้มงวด ตามกรอบนโยบายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ธนาคารฯ จึงต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับเป็นยุควิกฤตของธนาคารฯ เนื่องจากมีปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ทางธนาคารฯ จึงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ด้วยความพยายามรักษาระดับของเงินกองทุนให้เพียงพอ, การปรับปรุงโครงสร้างหนี้, การปรับปรุงโครงสร้างของธนาคารฯ ตลอดจนตัดทอนค่าใช้จ่ายต่างๆ ร่วมกับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ด้วยการเพิ่มทุน ซึ่งล้วนแต่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้งการเสนอขายหุ้นแก่ผู้ถือหุ้นเดิม, แก่ผู้ลงทุนในต่างประเทศ และการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุน ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยวารสารการเงินหลายฉบับ กล่าวขวัญว่า เป็นข้อตกลงที่ควรพิจารณาแห่งปีของเอเชีย ซึ่งมาตรการทั้งหมดนั้น ได้รับความร่วมมือร่วมใจ จากพนักงานของธนาคารฯ เป็นอย่างดียิ่ง
พ.ศ. 2549 - ธนาคารฯ มีปริมาณสินทรัพย์เป็นอันดับที่สาม มูลค่าเกินหนึ่งล้านล้านบาท โดยมีมูลค่าตลาดรวม เพิ่มสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ตลอดจนมีจำนวนสาขา และเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศ มากที่สุดในประเทศไทย
พ.ศ. 2553 - ธนาคารฯ ปรับปรุงอัตลักษณ์และตราของธนาคาร ให้มีความเรียบง่ายและทันสมัยมากขึ้น และเปิดดำเนินกิจการจนครบหนึ่งพันสาขา โดยสาขาที่ 1,000 ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดที่ทำการ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม[ต้องการอ้างอิง]
พ.ศ. 2555 - บริษัท เงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ได้โอนบรรดากิจการทั้งหมด ไปเป็นส่วนหนึ่งของธนาคารฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมของปีดังกล่าว
กิจการในเครือ[แก้]

อาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์



สายหลักทรัพย์
บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด
สายประกันวินาศภัยและประกันชีวิต
บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
สายสินเชื่อและบัตรเครดิต
บริษัท ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยพาณิชย์พลัส จำกัด
ฝ่ายผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารในต่างประเทศ
ธนาคารกัมพูชาพาณิชย์ จำกัด (ประเทศกัมพูชา)
ธนาคารวีนาสยาม จำกัด (ประเทศเวียดนาม)
กิจการอื่นๆ
มูลนิธิสยามกัมมาจล
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
คณะกรรมการกิจการเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์
บริษัท ธทพ. ศูนย์ฝึกอบรม จำกัด
บริษัท สยามเยเนอรัลแฟคเตอริ่ง จำกัด (มหาชน)
อาคารสินธร
ศูนย์รวมอสังหาริมทรัพย์และรถมือสอง เอสซีบี
กิจการในอดีต
บริษัท สยามพาณิชย์พัฒนา จำกัด
บริษัทเงินทุน บุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เอสซีบี บุคคลัภย์ จำกัด
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธนสยาม จำกัด (มหาชน)
บริษัทเงินทุน สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (โอนกิจการเป็นส่วนหนึ่งของธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555)
บริษัทหลักทรัพย์ ซิทโก้ จำกัด (มหาชน)
บริษัท สยามซันวาไทรลีส จำกัด
บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) (ขายกิจการไปให้แก่ เอซ กรุ๊ป ในประเทศไทย และกลับไปใช้ชื่อบริษัทเป็น "สามัคคีประกันภัย" ในปี 2557)
บริษัท สยามสินธร จำกัด
บริษัท ไทยพาณิชย์นาวี จำกัด
บริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้ง สถานีโทรทัศน์ไอทีวี
กรรมการบริษัท[12][แก้]
อานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ
วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร
ญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่[แก้]
ข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2556 [13]
ลำดับที่ รายชื่อผู้ถือหุ้น จำนวนหุ้นสามัญ สัดส่วนการถือหุ้น
1 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 722,941,958 21.30%
2 กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 392,899,100 11.58%
3 กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 392,899,100 11.58%
4 บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 195,465,637 5.76%
5 CHASE NOMINEES LIMITED 42 173,423,200 5.11%
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
มูลนิธิสยามกัมมาจล
โครงการ กล้าใหม่...ใฝ่รู้
ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เฟซบุ๊ก
อ้างอิง[แก้]
กระโดดขึ้น ↑ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1427970973
กระโดดขึ้น ↑ https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=SCB&language=th&country=TH
กระโดดขึ้น ↑ https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=SCB&language=th&country=TH
กระโดดขึ้น ↑ https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=SCB&language=th&country=TH
กระโดดขึ้น ↑ https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=SCB&language=th&country=TH
กระโดดขึ้น ↑ http://www.settrade.com/C04_01_stock_quote_p1.jsp?txtSymbol=SCB&selectPage=1
กระโดดขึ้น ↑ สรุปข้อสนเทศบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
กระโดดขึ้น ↑ ประวัติธนาคารไทยพาณิชย์, จากเว็บไซต์ของธนาคารฯ
กระโดดขึ้น ↑ http://www.scb.co.th/th/personal-banking
กระโดดขึ้น ↑ http://www.scb.co.th/th/business-banking
กระโดดขึ้น ↑ http://www.scb.co.th/th/wholesale-banking
กระโดดขึ้น ↑ http://www.settrade.com/C04_04_stock_boardofdirector_p1.jsp?txtSymbol=SCB&selectPage=4
กระโดดขึ้น ↑ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เซ็ทเทรดดอตคอม
[แสดง] ด พ ก
ธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศซึ่งมีสาขาในประเทศไทย
[แสดง] ด พ ก
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/3/30/Scb_headoffice.jpg/รายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนี SET100 ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ครึ่งปีแรก พ.ศ. 2558 แบ่งตามหมวด
หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยธนาคารไทยบริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2447บริษัทไทยที่มีอายุเกิน 100 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิวัฒนาการของมนุษย์

วิวัฒนาการของมนุษย์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หมายถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ (อังกฤษ: Human evolution) เป็นกระบวนการวิวัฒนาการที่นำไปสู่การปรากฏขึ้นของ "มนุษย์ปัจจุบัน" (อังกฤษ: modern human มีนามตามอนุกรมวิธานว่า Homo sapiens หรือ Homo sapiens sapiens) ซึ่งแม้ว่าจริง ๆ แล้วจะเริ่มต้นตั้งแต่บรรพบุรุษแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่บทความนี้ครอบคลุมเพียงแค่ประวัติวิวัฒนาการของสัตว์อันดับวานร (primate) โดยเฉพาะของสกุล โฮโม (Homo) และการปรากฏขึ้นของมนุษย์สปีชีส์ Homo sapiens ที่จัดเป็นสัตว์วงศ์ลิงใหญ่เท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการมนุษย์นั้นต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา รวมทั้งมานุษยวิทยาเชิงกายภาพ (หรือ มานุษยวิทยาเชิงชีวภาพ), วานรวิทยา, โบราณคดี, บรรพชีวินวิทยา, พฤติกรรมวิทยา, ภาษาศาสตร์, จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary psychology), คัพภวิทยา และพันธุศาสตร์[1]

กระบวนการวิวัฒนาการเป็นความเปลี่ยนแปลงของลักษณะสืบสายพันธุ์ (trait) ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตผ่านหลายชั่วยุคชีวิต เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความหลายหลากกับสิ่งมีชีวิตในทุกระดับชั้น รวมทั้งระดับสปีชีส์ ระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิต และแม้กระทั่งโครงสร้างระดับโมเลกุลเช่นดีเอ็นเอและโปรตีน[2] สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสืบสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันที่มีชีวิตประมาณ 3.8 พันล้านปีก่อน การเกิดสปีชีส์ใหม่ ๆ และการแยกสายพันธุ์ออกจากกันของสิ่งมีชีวิต สามารถอนุมานได้จากลักษณะสืบสายพันธุ์ทางสัณฐานและทางเคมีชีวภาพ หรือโดยลำดับดีเอ็นเอที่มีร่วมกัน[3] คือ ลักษณะสืบสายพันธุ์และลำดับดีเอ็นเอที่มีกำเนิดเดียวกัน จะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันเร็ว ๆ นี้มากกว่าระหว่างสปีชีส์ที่มีบรรพบุรุษร่วมกันมานานแล้ว ดังนั้นความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างกันจึงสามารถใช้สร้างแบบของต้นไม้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิต ที่แสดงความสัมพันธ์เชิงญาติ โดยใช้สิ่งมีชีวิตที่ยังมีอยู่หรือใช้ซากดึกดำบรรพ์เป็นหลักฐานข้อมูล รูปแบบความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในโลกเปลี่ยนแปลงไปเพราะการเกิดขึ้นของสปีชีส์ใหม่ ๆ และการสูญพันธุ์ไปของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่[4]
Human evolution scheme.png

กำเนิดพระศิวะ

กำเนิดพระศิวะ
พระศิวะ หรือ พระอิศวร (อังกฤษ: Mahesh, Shiva; สันสกฤต: शिव) หนึ่งในตรีมูรติ หรือเทพเจ้าสูงสุดสามพระองค์ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (อีกสององค์ ได้แก่ พระพรหม และพระวิษณุ)


ประติมากรรมนูนต่ำกึ่งลอยองค์ของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวีประดับโปุรัม ประเทศอินเดีย.

ประติมากรรมนูนต่ำกึ่งลอยองค์ของพระศิวะและพระแม่อุมาเทวีประดับโปุรัม ประเทศอินเดีย.
พระศิวะ มีรูปกายเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ วรรณะขาว (สีผิวขาว) นุ่งห่มหนังเสือเหมือนฤๅษี มีสังวาล์เป็นลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์ มีงูเห่าคล้องพระศอ ไว้พระเกศายาว ซึ่งจะม้วนเป็นจุฑา (มวยผม) มีพระจันทร์เป็นปิ่น มีคงคาอยู่บนยอดจุฑา ซึ่งพ่นน้ำมาตลอด และมีดวงพระเนตร (ตาที่ 3) กลางพระนลาฏ (หน้าผาก) ซึ่งโดยปกติจะปิดอยู่เสมอ เชื่อว่าหากเปิดขึ้นเมื่อไหร่ ไฟบรรลัยกัลป์จะเผาผลาญล้างโลก (บ้างว่าเป็นพระพรหม) ถือว่าเป็นการสิ้นสุดกัปหนึ่ง ก่อนที่พระพรหมจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่[1]

มีพาหนะ คือ โคอุศุภราช (วัวเพศผู้สีขาวล้วน) มีชายา คือ พระอุมา เทพีแห่งความกล้าหาญ มีโอรสสององค์ คือ พระขันทกุมาร และพระพิฆเนศ ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล

พระศิวะเป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกล และทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้น ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์

พระศิวะมีท่าร่ายรำอันเป็นการร่ายรำของเทพเจ้า เรียกว่า "ปางนาฏราช" เมื่อแปลงกายลงไปปราบฤๅษีที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ่งต่อมาชาวฮินดูได้ถือเอาท่าร่ายรำนี้เป็นต้นแบบของการร่ายรำต่าง ๆ มาตราบจนปัจจุบัน

นอกจากนี้แล้ว พระศิวะยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีหรือปีศาจอีกด้วย โดยมีพระนามเรียกว่า "ปีศาจบดี" หรือ "ภูเตศวร" นอกจากนี้แล้วพระอิศวร ยังมีพระนามอื่นอีก เช่น "รุทร", "ศังกร", "ศุลี", "นิลกัณฐ์", "หระ" หรือ "อีสาน"[2] และยังเป็นเทพประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน อีกด้วย [3]

นอกจากนี้แล้ว ยังเชื่อว่าพระศอของพระศิวะมีสีดำ ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ได้ยาพิษของพญานาคไว้เมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทรทำน้ำอมฤตเพื่อช่วยโลก[4] ซึ่งบทหนึ่งในกามนิต-วาสิฏฐี วรรณกรรมอิงพุทธศาสนาได้อ้างถึง สีของความรักว่าเป็นสีดำ เสมือนสีคอพระศิวะ[5]

พระศิวะ ที่ประเทศศรีลังกา อันเป็นประเทศที่ศาสนาฮินดูได้เข้ามาเผยแพร่ก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักอย่างเช่นในปัจจุบัน พระศิวะในความเชื่อของที่นี่จะมีพาหนะเป็นนกยูง และกลายมาเป็นเทพเจ้าที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาพุทธศาสนา[6]
Sivakempfort.jpg

กำเนิดกูเกิล

กำเนิดกูเกิล
บทความนี้เกี่ยวกับบริษัทกูเกิล สำหรับเว็บไซต์และเสิร์ชเอนจิน ดูที่ กูเกิล เสิร์ช
กูเกิล
(Google Inc.)

ประเภท บริษัทมหาชน (แนสแด็ก: GOOG) , (LSE: GGEA)
ก่อตั้ง 4 กันยายน 2541 [1]
เมนโลพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย
ผู้ก่อตั้ง
แลร์รี่ เพจ
เซอร์เกย์ บริน
ที่อยู่ อาคารสำนักงานกูเกิลเพล็กซ์ เมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย
บุคลากรหลัก ซันดาร์ พิชัย (ประธานบริหาร)
รายได้ US$ 66.001 พันล้าน (2557) [2]
รายได้จากการดำเนินงาน US$16.496 พันล้าน (2557)[3]
กำไร US$14.444 พันล้าน (2557)[3]
สินทรัพย์ US$131.133 พันล้าน (2557)[3]
ทุน US$104.5 พันล้าน (2557)[3]
พนักงาน 59,976 (ไตรมาสที่ 3 ปี 2015)[4]
คำขวัญ Don't be evil
เว็บไซต์ www.google.com
www.google.co.th
กูเกิล (Google Inc.) (แนสแด็ก: GOOG และ LSE: GGEA) เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (31 ธันวาคม 2550)[ต้องการอ้างอิง] โดยกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550) [5]

กูเกิลก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย [6] และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา เช่น กูเกิล ดีปไมด์ รวมถึงก่อตั้งบริษัทลูกอย่างกูเกิล เอ็กซ์กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน[7] ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วน

วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน สองผู้ก่อตั้งกูเกิล ได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ "แอลฟาเบต" (Alphabet) โดยมีแผนจะใช้บริษัทนี้เป็นบริษัทแม่แทน และลดขนาดองค์กรกูเกิลลงเพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ[8][9] ต่อมาวันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน กูเกิลได้เปลี่ยนโลโก้บริษัทใหม่[10][11]

เนื้อหา  [ซ่อน]
1 โครงการรณรงค์
2 ผลิตภัณฑ์ของกูเกิล
2.1 ซอฟต์แวร์เดสก์ทอป
2.2 บริการบนอินเทอร์เน็ต
2.3 บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ
2.4 ระบบปฏิบัติการ
3 สำนักงาน
4 ความขัดแย้งในกฎและสิทธิ
5 อ้างอิง
6 แหล่งข้อมูลอื่น
6.1 หนังสืออ่านเพิ่ม
โครงการรณรงค์[แก้]
กูเกิล ร่วมรณรงค์กิจกรรมการปิดไฟ กับโครงการเอิร์ธ อาวเออร์ (Earth Hour) ของกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund : WWF) ด้วยการปรับหน้าเว็บเพจเป็นสีดำพร้อมข้อความว่า "เราปิดไฟแล้ว ต่อไปตาคุณ" (We've turned the lights out. Now it's your turn.) ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551[12]

"Google" ชื่อ "Google" มาจากคำว่า "googol" ซึ่งหมายถึงจำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว หรือ 10100 เพื่อเป็นการแสดงถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล อีกกระแสหนึ่งบอกว่าชื่อ Google มาจากความผิดพลาดในการจดโดเมนเนมในช่วงก่อตั้ง

ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 กูเกิลชนะความในศาล ในคดีที่มีบริษัทอื่นตั้งชื่อใกล้เคียง ได้แก่ googkle.com ghoogle.com และ gooigle.com เพื่อเรียกให้คนอื่นเข้าเว็บไซต์ของตน ทำให้เกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของกูเกิล

ผลิตภัณฑ์ของกูเกิล[แก้]
ซอฟต์แวร์เดสก์ทอป[แก้]
ซอฟต์แวร์ของกูเกิล จะเป็นซอฟต์แวร์ให้ดาวน์โหลดใช้งานฟรี และทำงานผ่านระบบของกูเกิล

กูเกิล ทอล์ก
ทอล์ก (Google Talk) ซอฟต์แวร์เมสเซนเจอร์และวีโอไอพี
กูเกิล เอิร์ธ
เอิร์ธ (Google Earth) ซอฟต์แวร์ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ ภูมิประเทศของแต่ละประเทศ ของโลก
ปีกาซา
ปีกาซา (Picasa) ซอฟต์แวร์สำหรับดูภาพภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้งานคู่กับเว็บไซต์ปีกาซา
กูเกิล แพ็ก
แพ็ก (Google Pack) เป็นชุดซอฟต์แวร์พร้อมดาวน์โหลด ประกอบด้วย โปรแกรมของกูเกิลเองได้แก่ เดสก์ท็อป ปีกาซา ทูลบาร์ โฟโต้สกรีนเซฟเวอร์ เอิร์ธ ทอร์ก วิดีโอเพลย์เยอร์ และโปรแกรมอื่นรวมถึง ไฟร์ฟอกซ์ สตาร์ออฟฟิศ อะโดบี รีดเดอร์ สไกป์
กูเกิล โครม
โครม (Google Chrome) ซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์
สเก็ตช์อัป
สเก็ตช์อัป (SketchUp) ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสเก็ตช์ และภาพ 3 มิติ
กูเกิล สกาย แมพ
สกาย แมพ (Google sky map) ซอฟต์แวร์ที่ใช้ดู แผนที่ดาว ตำแหน่งดาวเคราห์ และ ดาวฤกษ์ ของ กาแล็กซี่ต่างๆๆ
กูเกิล แมพ
แมพ (Google Map) ซอฟต์แวร์สำหรับค้นหาแผนที่บนโลก
ผลิตภัณท์ของกูเกิล ที่ ใช้ ทำงาน มาใหม่ ***
กูเกิล เอกสาร
เอกสาร (Google Meet Docs ) ซอฟต์แวร์ที่ใช้เกี่ยวกับ การเก็บข้อมูล ภาพ ข้อมูล เหมือนกับ Microsoft word
กูเกิล ชีต
ชีต (Google Meet Sheet) ซอฟต์แวร์ ที่ใช้เกี่ยวกับ การทำข้อมูล กราฟเส้น ต่างๆๆ เหมือนกับ Microsoft Excle
กูเกิล สไลด์
สไลด์ (Google Meet Slides) ซอฟแวร์ ที่ใช้เกี่ยวกับ การนําเสนอ ข้อมูล ความรู้ เหมือนกับ Microsoft power point
กูเกิล คิป
คิป (Google Keep) ซอฟแวร์ ที่ใช้เกี่ยวกับ การจดบันทึก สิ่งต่างๆๆหรือสิ่งสำคัญ ซึ่งเหมือนการเก็บข้อมูลใน สมุด หรือ ไดอารี่
บริการบนอินเทอร์เน็ต[แก้]
ชื่อ ชื่ออังกฤษ รายละเอียดย่อ อ้างอิง
กูเกิล เสิร์ช Google Search เว็บไซต์เสิร์ชเอนจินค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต มีให้บริการมากกว่า 100 ภาษา [1]
กูเกิล กรุ๊ปส์ Google Groups บริการเว็บบอร์ด และสร้างเว็บไซต์ของกลุ่ม [2]
กูเกิล ค้นหารูปภาพ Google Image Search บริการค้นหารูปภาพออนไลน์ [3]
กูเกิล แคเลนเดอร์ Google Calendar บริการปฏิทินและจดวันนัดหมาย [4]
จีเมล Gmail บริการอีเมล [5]
กูเกิล ไซต์ไกสต์ Google Zeitgeist บริการเปิดให้ดูคำค้นหา คำนิยม รูปแบบ และแนวโน้มในการค้นหาผ่านกูเกิลเสิร์ช [6]
กูเกิล ด็อกส์ Google Docs บริการใช้งานซอฟต์แวร์สำนักงานรวมถึง เวิร์ด สเปรดชีต พรีเซนเตชัน ให้ผู้ใช้สามารถได้ฟรีออนไลน์ โดยเพิ่มเติมความสามารถในการแชร์และให้ผู้ใช้หลายคนสามารถแก้ไขไฟล์เดียวกันพร้อมกันได้โดยผู้ใช้ [13] โดยเริ่มพัฒนาจากซอฟต์แวร์ ไรต์รี (Writely) และ กูเกิล สเปรดชีตส์ (Google Spreadsheet) เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2550 [7]
กูเกิล ทรานซเลต Google Translate บริการแปลข้อความผ่านเว็บไซต์ รวมถึงแปลเว็บไซต์ทั้งหน้า [8]
บล็อกเกอร์ Blogger บริการเขียนบล็อก [9]
กูเกิล บล็อกเสิร์ช Blog Search บริการค้นหาบล็อก [10]
ปีกาซา Picasa เว็บไซต์เก็บภาพ ใช้งานคู่กับซอฟต์แวร์ปีกาซา [11]
กูเกิล เพจ Google Page บริการสร้างเว็บไซต์ [12]
กูเกิล โน้ตบุ๊ก Google Notebok บริการสมุดบันทึกออนไลน์ [13]
กูเกิล แมปส์ Google Maps บริการแผนที่ ค้นหาที่อยู่ ค้นหาธุรกิจและร้านอาหาร [14]
ยูทูบ YouTube บริการแชร์วิดีโอ [15]
กูเกิล วิดีโอ Google Video บริการค้นหาวิดีโอออนไลน์ [16]
กูเกิล เว็บมาสเตอร์ Google Webmaster ให้บริการเครื่องมือสำหรับเว็บมาสเตอร์ ตรวจสอบเว็บไซต์ ค้นหาดัชนีการค้นหาผ่านกูเกิล ตรวจสอบโรบอตไฟล์ [17]
กูเกิล สกอลาร์ Google Scholar บริการค้นหาวารสาร หนังสือ สิ่งตีพิมพ์ทางวิชาการ [18]
กูเกิล สกาย Google Sky ดูดาว และระบบสุริยะจักรวาลผ่านเว็บไซต์ [19]
กูเกิล สารบบเว็บ Google Directory ค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ ข้อมูลจาก ดีมอซ [20]
ออร์กัต Orkut เครือข่ายสังคมออนไลน์ลักษณะคล้ายกับ ไฮไฟฟ์ และเฟซบุ้ก ออกแบบโดยวิศวกรกูเกิลชาวตุรกี ออร์กัต บือยืกเคิกเทน (Orkut Büyükkökten) เปิดใช้งานเมื่อ มกราคม 2547 [21]
กูเกิล แอดเซนส์ Google AdSense ให้บริการโค้ดสำหรับติดตั้งโฆษณาบนเว็บไซต์ ทำงานคู่กับแอดเวิรดส์ [22]
กูเกิล แอดเวิรดส์ Google AdWords บริการโฆษณาผ่านเว็บไซต์ที่ติดตั้งแอดเซนส์ [23]
กูเกิล แอนะลิติกส์ Google Analytics บริการนับสถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ พร้อมระบบวิเคราะห์ผู้ใช้งาน [24]
กูเกิล เพลย์ Google Play บริการใช้งานผลิตภัณฑ์และบริการของกูเกิลผ่านทางชื่อโดเมนส่วนตัว โดยแอปพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้เช่น จีเมล แคเลนเดอร์ ทอล์ก ด็อกส์ โดยมีการให้บริการทั้งฟรีและเสียเงิน [25]
ไอกูเกิล iGoogle ในชื่อเดิม เพอร์เซอนอลไลส์ ให้บริการทำหน้าเริ่มต้นในการเข้าชมเว็บไซต์ โดยสามารถนำเว็บฟีดและแก็ดเจ็ต จากเว็บอื่นมารวมได้ [26]
กูเกิลกูรู Google guru เชิญให้สมาชิก Gmail เข้ามาตั้งคำถามและตอบคำถามได้ โดยมีคะแนนที่ทางกูเกิลให้เมื่อเข้ามาที่กูเกิล สามารถใช้ตั้งคำถามได้ เป็นเวอร์ชันทดลองให้ไปลองใช้กัน พบแต่ในประเทศไทยเท่านั้น (ปัจจุบันปิดใช้งานแล้ว) [27]
กูเกิล พลัส Google Plus เครือข่ายสังคมออนไลน์ล่าสุดจากกูเกิล (เปิดตัวในวันที่ 28 มิ.ย. 2554 โดยจำกัดจำนวนผู้ใช้งานให้ทดลองใช้เฉพาะผู้ที่มี invite หลังจากนั้นวันที่ 20 ก.ย. 2554 ก็เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้งานโดยไม่ต้องมี invite) [28]
กูเกิล มิวสิก Google Music บริการฟังเพลง-ดาวน์โหลดเพลงออนไลน์จากกูเกิล ในเบื้องต้นเปิดใช้เป็นทางการเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา [29]
โดยบริการที่อยู่ในขั้นทดลอง จะเปิดให้ใช้งานโดยจะมีคำว่า "Beta" อยู่ภายใต้โลโก้นั้นซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกูเกิล แล็บส์ (Google Labs)

บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ[แก้]
Map's for mobile
Mobile
SMS
App Google Play Store
ระบบปฏิบัติการ[แก้]
แอนดรอยด์
แอนดรอยด์ (Android) ระบบปฏิบัติการบนสมาร์ตโฟนที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
กูเกิล โครมโอเอส
โครม โอเอส (Chrome OS) ระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เน็ตบุ๊ก ปัจจุบันมีผู้ผลิตอยู่ 2 ราย คือ ซัมซุงและเอเซอร์
กูเกิลทีวี
กูเกิลทีวี (Google TV) ระบบปฏิบัติการบนโทรทัศน์รุ่นใหม่ เช่น สมาร์ตทีวี แอลอีดีทีวี สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านทีวีได้*-*
สำนักงาน[แก้]
กูเกิลมีสำนักงานหลายสาขาทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 20 สาขา และที่อื่นทั่วโลกมากกว่า 40 แห่ง กูเกิลสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิวในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยสถานที่ตั้งของสาขาทั้งหมดดังนี้[14]

สหรัฐอเมริกา
เมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย (สำนักงานใหญ่)
เออร์ไวน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
แซนแฟรนซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
แซนตามอนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย
ดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน
แอนน์อาร์เบอร์ รัฐมิชิแกน
ออสติน รัฐเทกซัส
แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย
เดนเวอร์ รัฐโคโลราโด
โบลเดอร์ รัฐโคโลราโด
เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์
ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์
คอปเพลล์ รัฐเทกซัส
แดลลัส รัฐเทกซัส
เคิร์กแลนด์ รัฐวอชิงตัน
ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน
นิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก
ฟินิกซ์ รัฐแอริโซนา
พิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย
วอชิงตัน ดี.ซี.
อเมริกาเหนือ
แคนาดา
อเมริกาใต้
บราซิล
เม็กซิโก
ออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย
เอเชีย
จีน
อินเดีย
ฮ่องกง
ญี่ปุ่น (โตเกียว โอซะกะ)
เกาหลีใต้
สิงคโปร์
ไต้หวัน
ตุรกี
ไทย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ยุโรป
เดนมาร์ก
ฟินแลนด์
ฝรั่งเศส
เยอรมนี
ไอร์แลนด์
อิตาลี
เนเธอร์แลนด์
นอร์เวย์
โปแลนด์
รัสเซีย
สเปน
สวีเดน
สวิตเซอร์แลนด์
สหราชอาณาจักร (ลอนดอน แมนเชสเตอร์)
ความขัดแย้งในกฎและสิทธิ[แก้]
การเติบโตของกูเกิลในด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และการบริการ ก่อให้เกิดความขัดแย้งและการวิพากษ์วิจารณ์หลายครั้ง ตัวอย่างเช่นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เขียนหนังสือ จากการให้บริการค้นหาหนังสือผ่าน กูเกิล บุ๊กเสิร์ช ที่มีการนำข้อมูลจากหนังสือมาสแกนเพื่อให้ผู้ใช้งานค้นคว้าง่ายขึ้น[15] เช่นเดียวกับการค้นหาภาพผ่าน กูเกิล ค้นหารูปภาพ นอกจากนี้ยังมีการวิจารณ์ที่กูเกิลได้ทำการเซ็นเซอร์ข้อมูลในการค้นหาบางส่วน เช่นกูเกิลได้ยอมให้ในประเทศจีน ที่ทางรัฐบาลไม่ต้องการให้ผู้ใช้งานกูเกิลจีนค้นหาข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม กูเกิลได้ทำการเซ็นเซอร์ข้อมูลเกี่ยวกับ การชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และเช่นเดียวกันในการเซ็นเซอร์ของเยอรมนีและฝรั่งเศสเกี่ยวกับการล้างชาติพันธุ์โดยนาซี

ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัวนั้นกูเกิลถูกวิจารณ์ว่าได้เก็บข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของคุกกี้ เป็นระยะเวลานานกว่าเว็บไซต์อื่น โดยทางกูเกิลเก็บข้อมูลไว้เป็นเวลา 18 เดือน ขณะที่ทางยาฮู!และเอโอแอลเก็บข้อมูลเป็นเวลา 13 เดือน[16] ทางด้านข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายผ่านดาวเทียม ที่แสดงผลผ่าน กูเกิล เอิร์ธ และกูเกิล แมปส์ ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหน่วยความมั่นคงของหลายประเทศ ในด้านความเป็นส่วนตัว และการล้วงความลับทางการเมือง รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถดูสถานที่สำคัญโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ เช่น พระราชวัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายในด้านการจารกรรมและปัญหาการก่อการร้ายได้โดยง่าย ถึงแม้ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะเปิดให้ดูได้มานานก่อนหน้าที่กูเกิลจะออกซอฟต์แวร์ก็ตาม

ในด้านการโฆษณาผ่านกูเกิล ได้มีการวิจารณ์ในระบบการโฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพเต็มความสามารถ ซึ่งทางเจ้าของเว็บไซต์ที่ติดตั้งโฆษณาพยายามโกงโดยการกดโฆษณาเองเพื่อเพิ่มรายได้ให้ตนเอง ทำให้ผู้ลงโฆษณาต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นซึ่งมีรายงานว่า 14-20 เปอร์เซนต์ เป็นการกดโดยตั้งใจเพื่อทำรายได้ให้กับเจ้าของเว็บ[17] นอกจากนี้กูเกิลยังโดนกล่าวถึงในเรื่องของการกีดกันโอกาสของคนต่างเพศและคนสูงอายุจากอดีตพนักงานที่โดนเชิญให้ออก[18][19]

อ้างอิง[แก้]
กระโดดขึ้น ↑ เกี่ยวกับ Google (อังกฤษ)
กระโดดขึ้น ↑ "Google Inc. 2013 Annual Report Form (10-K)". (XBRL). United States Securities and Exchange Commission. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2557.
↑ กระโดดขึ้นไป: 3.0 3.1 3.2 3.3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ xbrlus_3
กระโดดขึ้น ↑ "Google Inc. Announces Third Quarter and Fiscal Year 2015 Results". Google.
กระโดดขึ้น ↑ "Google’s Surge Would Make Casey Kasem Proud". Wall Street Journal. 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550. สืบค้นเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ 2551.
กระโดดขึ้น ↑ "The Rise of Google". ยูเอสเอทูเดย์. 29 เมษายน พ.ศ. 2547. สืบค้นเมื่อ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551.
กระโดดขึ้น ↑ "100 Best Companies to Work For 2007." นิตยสารฟอร์จูน 22 มกราคม พ.ศ. 2550 เรียกข้อมูลวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551
กระโดดขึ้น ↑ กูเกิลประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ตั้งบริษัทแม่แห่งใหม่ ลดไซซ์กูเกิลเพื่อความคล่องตัว
กระโดดขึ้น ↑ "กูเกิ้ล" ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ | เดลินิวส์
กระโดดขึ้น ↑ Google ปรับโฉมใหม่ - Official Google Thailand Blog
กระโดดขึ้น ↑ Google's New Logo Is Its Biggest Update In 16 Years | Fast Company
กระโดดขึ้น ↑ Earth Hour google.co.th
กระโดดขึ้น ↑ Writely So จากบล็อกกูเกิล
กระโดดขึ้น ↑ ที่ตั้งทั้งหมดของสำนักงานกูเกิล
กระโดดขึ้น ↑ "A New Chapter". The Economist. 30 ตุลาคม 2551. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
กระโดดขึ้น ↑ Liedtke, Michael (11 ธันวาคม พ.ศ. 2550). "Ask.com will purge search info in hours". Journal Gazette (Fort Wayne Newspapers). สืบค้นเมื่อ 2007-12-11.
กระโดดขึ้น ↑ Mills, Elinor. "Google to offer advertisers click fraud stats." c net. 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549. เรียกดู 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2549.
กระโดดขึ้น ↑ Kawamoto, Dawn. "Google hit with job discrimination lawsuit." c|net news.com. 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2548.
กระโดดขึ้น ↑ CTV.ca | Google accused of ageism in reinstated lawsuit
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ:
กูเกิล
เว็บไซต์กูเกิลอย่างเป็นทางการ
เว็บไซต์กูเกิลประเทศไทย
หนังสืออ่านเพิ่ม[แก้]
เรื่องราวของกูเกิล, หนังสือแปลจาก The Google Story ของ เดวิด เอ. ไวส์ และ มาร์ก มัลซีด แปลโดย วิภาดา กิตติโกวิท. ISBN 974-9754-52-2
[แสดง] ด พ ก
กูเกิล และผลิตภัณฑ์จากบริษัท
[แสดง] ด พ ก
บริษัททางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขนาดใหญ่
หมวดหมู่: หน้าที่มีข้อผิดพลาดการอ้างอิงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนกูเกิลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แฟรงเฟิร์ตบริษัทที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2541บริษัทของสหรัฐอเมริกาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์เวิลด์ไวด์เว็บ
Google 2015 logo.svg

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร



ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. (อังกฤษ: Bank for Agriculture and Agricultural Cooperatives) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละ 99.79 กลุ่มสหกรณ์การเกษตรต่างๆ ถือหุ้นร้อยละ 0.18 และบุคคลทั่วไปถือหุ้นร้อยละ 0.03[2]
ประวัติ[แก้]
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2486 ในชื่อ "ธนาคารเพื่อการสหกรณ์"[3] เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนแก่สหกรณ์ในประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2509 จึงได้มีการจัดตั้งธนาคารใหม่ขึ้นแทน เพื่อให้ครอบคลุมถึงเกษตรกรด้วย โดยใช้ชื่อว่า "ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์"[4] ทำหน้าที่อำนวยสินเชื่อทางการเกษตรอย่างกว้างขวาง ทั้งโดยตรงและสู่สถาบันเกษตรกร มุ่งให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อส่งเสริมอาชีพการเกษตรหรือการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้ เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือ สหกรณ์การเกษตร สามารถประกอบอาชีพอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวเกษตรกร รวมทั้งให้บริการรับฝากเงิน

การดำเนินงาน[แก้]
ธ.ก.ส. เป็นธนาคารประเภทรัฐวิสาหกิจ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล อาทิ โครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ และโครงการจำนำผลผลิตทางการเกษตร

ธ.ก.ส. มีผลการดำเนินงานได้กำไรสุทธิจำนวน 8,012 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2553[5]

รางวัล[แก้]
ธ.ก.ส. ได้รับรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ประจำปี พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2553 ในด้านการดำเนินการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น อีกทั้งยังได้รับราลวัลผลการดำเนินงานดีเด่น และรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ในปี พ.ศ. 2551[5]

อ้างอิง[แก้]
กระโดดขึ้น ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 เล่ม 132 ตอนที่ 91ก วันที่ 25 กันยายน 2558
กระโดดขึ้น ↑ โครงสร้างผู้ถือหุ้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
กระโดดขึ้น ↑ พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการสหกรณ์ พุทธศักราช 2486
กระโดดขึ้น ↑ พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509
↑ กระโดดขึ้นไป: 5.0 5.1 รายงานผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจประจำปี 2553
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
[แสดง] ด พ ก
ธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศซึ่งมีสาขาในประเทศไทย
[แสดง] ด พ ก
หน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
[แสดง] ด พ ก
รัฐวิสาหกิจในประเทศไทย
[แสดง] ด พ ก
ผู้เข้าร่วมจัดแสดงในมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549
หมวดหมู่: กระทรวงการคลังรัฐวิสาหกิจไทยธนาคารไทยผู้เข้าร่วมจัดแสดงในมหกรรมพืชสวนโลกฯ ราชพฤกษ์ 2549องค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2486
BAAC Logo.png

ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. (อังกฤษ: Government Housing Bank) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง โดยปัจจุบันมีการทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด[3] จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2496[4] ทำหน้าที่ช่วยเหลือทางการเงินให้กับประชาชน ได้มีที่อยู่อาศัยตามสมควรแก่อัตภาพ โดยการให้กู้ยืมเงิน และ จัดสรรที่ดินเพื่อก่อสร้างที่เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ประกอบธุรกิจในการส่งเสริมและช่วยเหลือประชาชนนำเงินไป ลงทุนเกี่ยวกับการสร้างอาคารและที่ดินโดยตรงทำหน้าที่เสมือนสื่อกลางในการนำเงินไปใช้ประโยชน์ ใน กิจการเคหะและเป็นสถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยัง ร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐต่างๆ สนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่เป็นของตนเอง อาทิ ให้สินเชื่อกับผู้ที่ซื้อบ้านกับการเคหะแห่งชาติ สินเชื่อกับผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคม ร่วมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้สมาชิกกู้เงินเพื่ออสังหาริมทรัพย์ ความช่วยเหลือด้านการมีบ้าน

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รับโอนลูกหนี้และสินทรัพย์จากองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอดีตรัฐวิสาหกิจของไทย เข้ามารวมไว้ด้วยกัน ในปี พ.ศ. 2542[5]
จำนวนสาขา[แก้]
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีจุดบริการทั่วประเทศไทย จำนวน 146 จุด แบ่งเป็นสาขาหลัก 77 สาขา และสาขาย่อย 14 สาขา นอกจากนี้ยังมีหน่วยบริการสินเชื่อจำนวน 16 แห่ง ศูนย์ OSS จำนวน 26 ศูนย์ และเคาน์เตอร์การเงิน จำนวน 15 แห่ง[6]
อ้างอิง[แก้]
กระโดดขึ้น ↑ เว็บไซต์ของธนาคาร
กระโดดขึ้น ↑ พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 129 ตอนที่ 15ก วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555
กระโดดขึ้น ↑ [1]
กระโดดขึ้น ↑ พระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๔๙๖
กระโดดขึ้น ↑ การยุบเลิกองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) โดย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานพิเศษ วันพฤหัสบดีที่ 1 เดือน เมษายน พ.ศ. 2553
กระโดดขึ้น ↑ สาขาธนาคาร
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ศูนย์ที่อยู่อาศัยครบวงจร ธนาคารอาคารสงเคราะห์
[แสดง] ด พ ก
ธนาคารไทย ธนาคารพาณิชย์ไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศซึ่งมีสาขาในประเทศไทย
[แสดง] ด พ ก
หน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
[แสดง] ด พ ก
รัฐวิสาหกิจในประเทศไทย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หมายถึงหมวดหมู่: กระทรวงการคลังรัฐวิสาหกิจไทยธนาคารไทยองค์การที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2446
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาคารสงเคราะห์