วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การเลือกตั้ง

การเลือกตั้ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การเลือกตั้งโดยการหย่อนบัตร
การเลือกตั้ง (อังกฤษelection) เป็นกระบวนการวินิจฉัยสั่งการอย่างเป็นทางการซึ่งประชาชนเลือกปัจเจกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง การเลือกตั้งเป็นกลไกปกติที่ใช้ในระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17[1] การเลือกตั้งอาจเพื่อเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในสภานิติบัญญัติ หรือฝ่ายบริหารและตุลาการ และสำหรับรัฐบาลภูมิภาคและท้องถิ่น กระบวนการนี้ยังใช้ในองค์การเอกชนและธุรกิจ ตลอดจนสโมสรจนถึงสมาคมและบรรษัท

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้น "Election (political science)," Encyclpoedia Britanica Online. Retrieved 18 August 2009

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มงคลชีวิต 38 ประการ


มงคลชีวิต ๓๘ ประการ พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว)

พระภาวนาวิริยคุณ
(เผด็จ ทตฺตชีโว)
มงคลชีวิต ๓๘ ประการ เป็นหมวดธรรมะ ที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และการนำไปปฎิบัติ เพราะเป็นหมวดธรรมะ ที่เป็นขั้นเป็นตอนเกี่ยวเนื่องกัน และสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวัน ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสมบูรณ์พร้อม คือฝึกให้เป็นคนดี, สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง, ฝึกตนให้เป็นคนมีประโยชน์, บำเพ็ญประโยชน์ ต่อครอบครัวและสังคม, ธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่, การฝึกภาคปฏิบัต ิเพื่อกำจัดกิเลสให้สิ้นไป, ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส และยังประโยชน์สูงสุด ของการปฏิบัติให้เกิดขึ้น คือ ผู้ปฏิบัติจะมีจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมดกิเลส สามารถทำพระนิพพานให้แจ้ง สร้างบารมีให้ถึงที่สุดแห่งธรรมได้ในที่สุด
อ่านบทความมงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

มงคลที่ ๑ ไม่คบคนพาล
มงคลที่ ๒ คบบัณฑิต
มงคลที่ ๓ บูชาบุคคลที่ควรบูชา
มงคลที่ ๔ อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
มงคลที่ ๕ มีบุญวาสนามาก่อน
มงคลที่ ๖ ตั้งตนชอบ
มงคลที่ ๗ พหูสูต
มงคลที่ ๘ มีศิลปะ
มงคลที่ ๙ มีวินัย
มงคลที่ ๑๐ มีวาจาสุภาษิต
มงคลที่ ๑๑ บำรุงบิดามารดา
มงคลที่ ๑๒ เลี้ยงดูบุตร
มงคลที่ ๑๓ สงเคราะห์ภรรยา-สามี
มงคลที่ ๑๔ ทำงานไม่คั่งค้าง
มงคลที่ ๑๕ บำเพ็ญทาน
มงคลที่ ๑๖ ประพฤติธรรม
มงคลที่ ๑๗ สงเคราะห์ญาติ
มงคลที่ ๑๘ ทำงานไม่มีโทษ
มงคลที่ ๑๙ งดเว้นจากบาป
มงคลที่ ๒๐ สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
มงคลที่ ๒๑ ไม่ประมาทในธรรม
มงคลที่ ๒๒ มีความเคารพ
มงคลที่ ๒๓ มีความถ่อมตน
มงคลที่ ๒๔ มีความสันโดษ
มงคลที่ ๒๕ มีความกตัญญู
มงคลที่ ๒๖ ฟังธรรมตามกาล
มงคลที่ ๒๗ มีความอดทน
มงคลที่ ๒๘ เป็นคนว่าง่าย
มงคลที่ ๒๙ เห็นสมณะ
มงคลที่ ๓๐ สนทนาธรรมตามกาล
มงคลที่ ๓๑ บำเพ็ญตบะ
มงคลที่ ๓๒ ประพฤติพรหมจรรย์
มงคลที่ ๓๓ เห็นอริยสัจ
มงคลที่ ๓๔ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
มงคลที่ ๓๕ จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
มงคลที่ ๓๖ จิตไม่โศก
มงคลที่ ๓๗ จิตปราศจากธุลี
มงคลที่ ๓๘ จิตเกษม
มงคลชีวิต 38 ประการ ฉบับทางก้าวหน้า

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย

ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
  ในการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาค หรือทวีปเอเชียอย่างซีเกมส์ และเอเชี่ยนเกมส์ นับได้ว่า เซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ เป็นกีฬาความหวังเหรียญทองของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และวันนี้เราจะมารู้จักกับกฎกติกาการเล่นตะกร้อคร่าว ๆ กัน

ประวัติเซปักตะกร้อ

          กีฬาเซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ ยังไม่มีหลักฐานระบุที่แน่ชัดว่ามีจุดกำเนิดจากประเทศใด เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง ไทย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ ต่างคนต่างบอกว่าตนเองเป็นต้นกำเนิดขึ้นมาทั้งนั้น แต่สำหรับของไทย มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมเล่นกันบนลานกว้าง ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น และลูกตะกร้อทำมาจากหวาย หรือบางทีก็มีเตะตะกร้อลอดห่วง

          สำหรับตะกร้อแบบข้ามตาข่ายในปัจจุบัน ที่มีการเล่นฝั่งละ 3 คน นำมาจากประเทศมาเลเซีย คือ เซปัก รากา จาริง หรือ เซปักตะกร้อ ซึ่งดัดแปลงมาจากวอลเลย์บอล และย่อสนามให้เล็กลง โดยที่เริ่มเผยแพร่ในประเทศไทยประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2508 ในงานกีฬาไทย


กติกาการเล่นตะกร้อ
ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
สนามตะกร้อ

          สนามเซปักตะกร้อ เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 13.4 เมตร กว้าง 6.1 เมตร เป็นพื้นพลาสติก โดยจะแบ่งเขตแดนออกเป็น 2 ส่วน เท่า ๆ กัน และในแต่ละเขตแดนจะกำหนดจุดยืนสำหรับการเริ่มต้นเสิร์ฟ 3 จุดด้วยกัน คือ จุดที่อยู่ตรงมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด ขีดเส้นโค้งวงกลมเอาไว้ และจุดที่อยู่กลางแดน เยื้องไปทางด้านหลัง 1 จุด ขีดเส้นวงกลม โดยทั้ง 3 จุดนี้จะจัดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรพอดี

          สำหรับมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด เรียกว่า หน้าซ้าย หน้าขวา และวงกลมที่อยู่กลางเขตแดน คือ จุดเสิร์ฟ

ตาข่าย

          ตาข่ายสำหรับเซปักตะกร้อ มีไว้กั้นเขตแดนระหว่างสองฝั่ง กว้าง 70 เซนติเมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6.1 เมตร โดยสำหรับการแข่งขันของผู้ชายสูง 1.52 เมตร และหญิง สูง 1.42 เมตร
ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
ลูกเซปักตะกร้อ

          ลูกเซปักตะกร้อปัจจุบันทำมาจากพลาสติก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 42-45 เซนติเมตร มีรูอยู่ตรงลูกตะกร้อรวม 12 รูด้วยกัน มีจุดตัดไขว้ 20 จุด
ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
ผู้เล่น

          การเล่นตะกร้อ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ ตะกร้อปกติที่มี 3 คน และตะกร้อคู่ 2 คน กล่าวคือ เมื่อก่อนมีแต่การแข่งขันตะกร้อปกติ ทว่าเพิ่มตะกร้อแบบคู่ขึ้นมา เพราะต้องการกระจายเหรียญทองของกีฬาชนิดนี้ได้มากขึ้น
ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
วิธีการเล่น

          จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเสิร์ฟ เตะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ฝ่ายที่ได้ลูกตะกร้อต้องพยายามเตะตะกร้อให้ตกลงพื้นของอีกฝั่งให้ได้ ขณะที่ฝ่ายตั้งรับก็ต้องป้องกัน ไม่ให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนตัวเอง และเปลี่ยนสภาพเป็นฝ่ายบุกเพื่อทำให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนของอีกฝั่งให้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะมีโอกาสเตะลูกตะกร้อให้อยู่ในแดนตัวเองไม่เกิน 3 ครั้ง นับตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามเตะตะกร้อข้ามมา

          ส่วนการเสิร์ฟ ผลัดกันเสิร์ฟ ทีมละ 3 ครั้ง สลับกันไปเรื่อย ๆ

การคิดคะแนน

          1. สามารถเตะลูกตะกร้อลงบนแดนฝั่งตรงข้ามได้ ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)

          2. ฝ่ายตรงข้ามเตะลูกตะกร้อไม่ข้ามเน็ต ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)

          3. ฝ่ายตรงข้ามเตะข้ามแดนมาแล้ว แต่บอลไม่ตกในเขตแดนที่ระบุ ได้ 1 คะแนน

          การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ใน 5 เซต แต่ละเซต ใครทำได้ถึง 15 คะแนนก่อน ได้เซตนั้น ยกเว้น เสมอกัน 14-14  จะมีผู้ได้เซตก็ต่อเมื่อทำแต้มทิ้งขาด 2 คะแนน แต่แต้มสูงสุดทั้งหมดจะไม่เกิน 17 คะแนน

          และนี่ก็คือประวัติตระกร้อพร้อมกติกาการแข่งขันที่ควรทราบในเบื้องต้น ซึ่งกว่ากฎกติกาต่าง ๆ จะมาเป็นแบบนี้ก็ผ่านการเปลี่ยนมาหลายรอบ โดยที่ทำให้การแข่งขันสนุกขึ้น และมีโอกาสถูกดันเข้าสู่โอลิมปิกเกมส์ในอนาคตต่อไป

ประวัตินันยาง

ประวัตินันยาง
รองเท้าพื้นสีเขียว
ราวพุทธศักราช 2500 เพียรศักดิ์ ซอโสตถิกุล บุตรชายคนโตของวิชัย ซอโสตถิกุล กลับมาจากประเทศอังกฤษพร้อมกับความรักกีฬา โดยเฉพาะแบดมินตัน จึงต้องการออกแบบและผลิตรองเท้านันยางรุ่นใหม่ ให้เหมาะกับการเล่นแบดมินตัน จึงได้ผลิตรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ รุ่น 205 S ซึ่งพัฒนามาจากรุ่น 205 แต่มี พื้นสีเขียว ซึ่งนับเป็นสีที่แปลกมากในขณะนั้น ด้วยเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการแบดมินตันไทย ซึ่งภายหลังได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ทำให้รองเท้านันยางรุ่น 205S ที่เพียรศักดิ์ออกแบบ ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักแบดฯโดยไม่ได้คาดว่า รองเท้าพื้นเขียวนี้จะไปอยู่ในใจของหมู่นักเรียนไทยในไม่กี่ปีต่อมา

ด้วยความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรอปกับการขยายตลาดของสินค้านันยาง ส่งผลให้บริษัทฯ ตัดสินใจลงทุนขยายและพัฒนาฐานการผลิตไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ที่ทันสมัย ห่างจากโรงงานเดิมประมาณ 3 กิโลเมตร (บริเวณเขตบางแคในปัจจุบัน) และก่อตั้งบริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัดขึ้น เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
2522 - 2540 ปรากฏการณ์พื้นเขียว
ด้วยการเติบโตทางธุรกิจ บริษัท วัฒนสินพาณิชย์ จำกัด จึงเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัดในพ.ศ. 2522 และ ย้ายสำนักงานขายจากแยกตลาดน้อย มาบริเวณถนนสี่พระยา เขตบางรัก เมื่อปีพ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯในปัจจุบัน

ในช่วงแรก “นันยาง พื้นเขียว” จึงเป็นที่นิยมเฉพาะในหมู่คนเล่นแบดมินตัน จนกระทั่งขยายตัวไปยังกลุ่มนักเรียนประถมและมัธยม ทำให้นักเรียนในยุคนั้นรู้จักรองเท้านักเรียนนันยาง และใส่กันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา รองเท้าผ้าใบพื้นเขียวได้รับความนิยมอย่างมาก จนได้รับรางวัล “ผู้ผลิตสินค้าไทยดีเด่น” จากรัฐบาล เมื่อพ.ศ. 2527
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
รองเท้านันยางพื้นเขียว รุ่น 205-S เป็นที่นิยมอย่างเป็นปรากฏการณ์ของวงการรองเท้าไทย ที่ให้ความนิยมและยอดซื้อได้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนชายที่ใส่ทั้งไปโรงเรียน เล่นกีฬา หรือไปเที่ยว โดยมีการปรับดีไซน์เล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับวัยรุ่นในแต่ละยุค แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ คือ การเป็นผ้าใบพื้นเขียวมาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโลโก้ “Nanyang” บนตัวรองเท้าเพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคทราบว่าใส่รองเท้านันยางของจริงเท่านั้นในช่วงต้น พ.ศ. 2537
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
นันยางยังไม่ลืมว่าการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญต่อทรัพยากรบุคคลของประเทศ จึงมีการมอบทุนการศึกษา “บุญสม ซอโสตถิกุล” ให้กับนักเรียนทุกปี ตั้งแต่พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
2541- ปัจจุบัน
เมื่อก้าวมาสู่ยุคแห่งโลกาภิวัฒน์และการสื่อสาร การแข่งขันทางการตลาดเข้มข้นยิ่งขึ้น กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นันยางได้เริ่มทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2531 รวมทั้งโฆษณา ประชาสัมพันธ์ทางสื่อสิ่งพิมพ์เพิ่มมากขึ้น มีการแลกซื้อของเล่นแปลกๆ ซึ่งเป็นของเล่นที่ไม่มีขายในประเทศไทยในสมัยนั้น และเมื่อระบบอินเตอร์เน็ตกำลังจะมีบทบาทสำคัญในไม่ช้า

นันยางได้เปิดเวปไซต์ www.nanyang.co.th เพื่อเป็นช่องทางสื่อสารใหม่กับลูกค้าและส่วนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ในต้นพ.ศ. 2541

พ.ศ. 2542 ปรับปรุงระบบกระจายสินค้า โดยพัฒนาโรงงานแห่งแรกที่ได้ย้ายฐานการผลิตไปแล้ว บริเวณแขวงบางหว้า มาเป็นการศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบคลังสินค้า ขนส่งและการกระจายสินค้าให้ทันสมัย รองรับกับความต้องการของตัวแทนจำหน่ายที่เพิ่มมาขึ้น และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้นันยางยังได้กระจายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เริ่มตั้งแต่ เทสโก้ โลตัสใน พ.ศ. 2545 รวมไปถึง เซ็นทรัล โรบินสัน เดอะมอล บิ๊กซี และคาร์ฟูร์ต่อมาภายหลัง
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
การสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ใช้รองเท้านันยางเป็นไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ภาพยนตร์โฆษณา และสื่อต่างๆ ของนันยางหลายเรื่องในยุคนี้เป็นเรื่องราวต่างๆที่เกินขึ้นในโรงเรียน ยังเป็นที่กล่าวขานและประทับใจของคนไทย เช่น เก๋ามาตั้งแต่รุ่นพ่อ, เหยียบส้น เป็นต้น

ในขณะที่โฆษณารองเท้าแตะฟองน้ำนันยาง ชุดบลูด๊อก เป็นตัวแทนจากประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศ Cresta Award (www.cresta-awards.com) ประเภท Print Advertising และ Outdoor & Ambience Advertising ในปีพ.ศ. 2550 โดยสมาคมโฆษณานานาชาติ (International Advertising Association) ร่วมกับ Creative Standards Internationa
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
สื่อมวลชนหลายสำนักได้ยกให้นันยางเป็นสินค้าคุณภาพที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนั้น อาทิ นิตยสาร OOM ได้มอบรางวัล Another Design Award 2007 ประเภท Classic Product
http://www.nanyang.co.th/2010/images/
“วัสดุธรรมดาๆ ที่ได้รับการออกแบบจนอยู่เหนือกาลเวลา เหมือนกับ Levi’s หรือ Converse ที่ยิ่งใส่ยิ่งเก่า ยิ่งเก่ายิ่งเท่ เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองตลอดอายุการใช้ งาน คุณค่าทางอารมณ์นี้เอง ที่ไปตรงกับความต้องการของกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งอยากเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง นี่คือจุดเด่นที่ดีไซน์ไทยอย่าง นันยาง สร้างได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง”

ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ Thailand Creative & Design Center (TCDC) กล่าวถึงรองเท้านันยาง ในงานนิทรรศการรองเท้าไทยว่า

“รองเท้าผ้าใบนันยางรุ่นพื้นเขียวคลาสสิกให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดยามเดิน เป็นที่นิยมหมู่นักเรียนชายไทยมานานกว่า 50 ปี โดยมักสวมใส่แบบเหยียบส้นให้ดูเก๋า”

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360 รายสัปดาห์ ตีพิมพ์บทความชื่อ “เปิดตำรารบ 3 เรือธงในสมรภูมิเลือด” ที่กล่าวถึงสินค้าอย่าง มาม่า ชาเขียวโออิชิ และรองเท้านักเรียนนันยาง ที่สามารถฝ่ากระแสอุปสรรคต่างๆ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นในตลาดตลอดเวลา

“เอกลักษณ์การเป็น 'รองเท้าผ้าใบพื้นเขียว' ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักเรียนชาย จนกลายเป็นต้นแบบที่ทำให้ผู้ผลิตรองเท้ารายอื่น ต้องเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าด้วย จนมีผู้ลอกเลียนแบบสินค้านันยางเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีผู้ผลิตรองเท้าออกสินค้าพื้นเขียวจำนวนมาก แต่ในฐานะที่นันยางเป็นแบรนด์แรกที่ทำการออกแบบรองเท้าผ้าใบรุ่นดังกล่าวและคุณภาพที่ดีกว่า ทำให้นันยางสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองเป็น 'ต้นตำรับ' ผ้าใบพื้นเขียว ที่กลายเป็นจุดขายและจุดแข็งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้”

พ.ศ. 2553 บริษัท มายด์แชร์ มีเดียเอเยนซี่ผู้นำด้านการตลาดและเครือข่ายสื่อ ได้ศึกษาวิจัยข้อมูลกลุ่มวัยรุ่น วัยระหว่าง 18-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชี้นำเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อดูว่าคนกลุ่มนี้คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ "เจ๋ง" หรือ "เท่" สำหรับพวกเขาบ้าง ภายใต้หัวข้อ "What"s Cool" โดย รองเท้านันยาง เป็นหนึ่งในสินค้าที่ “เจ๋ง” และ “เท่ห์” ของวัยรุ่น เช่นเดียวกับ X-BOX, Ray-Ban, Converse, Apple, You Tube, Mini, Nike, BMW, BlackBerry, สิงห์, แม่โขง, และเสื้อตราห่านคู่ ฯลฯ

การเดินทางที่ผ่านมาบนรองเท้านันยาง ด้วยตระหนักถึงคุณภาพของสินค้า การบริหารและดำเนินธุรกิจด้วยคุณธรรม จากเด็กชายชาวฮกเกี้ยนคนหนึ่ง ถึงพนักงานบริษัทและบริษัทในเครือกว่าหมื่นชีวิต ทำให้บริษัทและสินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษ และจะดำเนินต่อไปอย่างก้าวหน้าและมั่นคง
http://www.nanyang.co.th/2010/images/

คอลเกต

คอลเกต
คอลเกต เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับช่องปากอย่าง ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ก่อตั้งโดยวิลเลียม คอลเกต และฟรานซิส สมิธ ในปี 1806 ในชื่อ Smith and Colgate ต่อมาในปี 1813 วิลเลียม คอลเกต ซื้อหุ้นกลับคืนมาและเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น William Colgate and Company เมื่อนายวิลเลียม คอลเกตเสียชีวิตแล้ว ในปี 1857 ชื่อบริษัทก็เปลี่ยนมาเป็น Colgate & Company และในปี 1873 ออกสินค้ายาสีฟันคอลเกต

ต่อมาในปี 1928 ได้รวมตัวกับบริษัท Palmolive-Peet Company ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสบู่ Palmolive จึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Colgate Palmolive-Peet Company ในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ออกสินค้าจำหน่ายไปทั่วโลก หลังจากนั้นได้เปลี่ยนชื่อบริษัทให้สั้นลงเป็น Colgate-Palmolive Company ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายสินค้ามากกว่า 200 ประเทศ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์อื่นๆที่อยู่ภายใต้ดูแล เช่น Palmolive, Protex, Sorriso, Kolynos, Axion, Soupline,Fab โดยในประเทศไทย บริหารงานโดย บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด
Colgate (logo).png

ลิงบาบูนชัคม่า

ลิงบาบูนชัคม่าลิงบาบูนชัคม่า หรือ ลิงบาบูนเคป (อังกฤษ: Chacma baboon, Cape baboon; ชื่อวิทยาศาสตร์: Papio ursinus) เป็นลิงบาบูนชนิดหนึ่ง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae)

ลิงบาบูนชัคม่า เป็นลิงบาบูนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และนับเป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด[4] มีขนตามตัวสีน้ำตาล ขนค่อนข้างหยาบ หน้าดำ หูมีขนน้อย แต่ตัวผู้ขนตรงรอบคอและไหล่ยาว และมีขนปรกที่ปาก ส่งเสียงร้องได้ดัง วิ่งได้เร็วมากและทรงพลัง มีลักษณะการวิ่งเหมือนม้าควบ ว่ายน้ำเก่ง

มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีจำนวนเป็นร้อยอาจถึง 200-300 ตัว มีหัวหน้าเป็นตัวผู้ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมสังคมของตัวให้เป็นระเบียบ ในขณะในหมู่ลิงตัวเมียจะมีการจัดลำดับสังคมตามอาวุโส ในเวลากลางคืนจะนอนพักผ่อนในถ้ำ หรือซอกหิน หรือบนกิ่งไม้ใหญ่ เพื่อหลบหลีกศัตรู เนื่องจากลิงบาบูนชัคม่าเองก็ตกเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่กว่าด้วย เช่น เสือดาว, เสือชีตาห์ โดยอาจจะโดนล่าได้ถึงบนต้นไม้ และลูกลิงก็ตกเป็นเหยื่อของนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น นกเหยี่ยว, นกอินทรี เป็นต้น ส่วนในหมู่ลิงตัวผู้่จะมีการสลับสับเปลี่ยนกันเรื่อย เนื่องจากการแย่งชิงกันเป็นจ่าฝูง และหากมีลิงจากที่อื่นจะขอเข้าเป็นสมาชิกฝูง ก็ต้องได้รับการอนุญาตจากลิงตัวอื่นในฝูง[5]

ลิงบาบูนชัคม่าไม่ค่อยพบในป่าทึบ ชอบอยู่ตามเขาที่เป็นหินมีต้นไม้น้อย เนื่องจากว่าลิงบาบูนชัคม่าขึ้นต้นไม้ไม่เก่ง ในเวลาเช้ามักลงมาจากต้นไม้เพื่อลงมาอาบแดด และแยกย้ายกันหากิน[5] มีพฤติกรรมผสมพันธุ์เป็นคู่ ไม่ปะปนกัน มีระยะเวลาตั้งท้องประมาณ 6-7 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกจะอยู่กับแม่ตลอดเวลา บางครั้งพ่อลิงจะช่วยดูแลลูกด้วย เมื่อลูกยังเล็กจะอยู่ที่อกแม่และดูดนมแม่ เมื่อโตขึ้นมาหน่อยจะเปลี่ยนขึ้นมาเกาะหลังแม่ ลิงบาบูนชัคม่ามีอายุยืนราว 20 ปี [6]

ลิงบาบูนชัคม่า แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาตอนใต้ กินอาหารได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักและเมล็ดพืชผลไม้ต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วยังสามารถวิ่งกระโจนจับนกฟลามิงโกกินเป็นอาหารได้ด้วย[7]

ลิงบาบูนชัคม่า แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย คือ[2]

Papio ursinus ursinus Kerr, 1792 – พบในแอฟริกาตอนใต้
Papio ursinus griseipes Pocock, 1911 – พบในแอฟริกาใต้ทางตอนเหนือและตอนใต้ของแซมเบีย
Papio ursinus raucana Shortridge, 1942 – พบตั้งแต่นามิเบียจนถึงตอนใต้ของแองโกลา
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/cf/Chacma_Baboon%2C_male.jpg/

ลิงบาบูนเหลือง

ลิงบาบูนเหลือง
ลิงบาบูนเหลือง (อังกฤษ: Yellow baboon; ชื่อวิทยาศาสตร์: Papio cynocephalus) เป็นลิงจำพวกลิงบาบูนชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae)

มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับลิงบาบูนทั่วไป แต่มีรูปร่างเล็กและบอบบางกว่าลิงบาบูนชัคม่า (P. ursinus) และลิงบาบูนสีมะกอก (P. anubis) และมีัส่วนปากที่ไม่ยื่นยาวออกมาเหมือน 2 ชนิดแรก ลิงบาบูนเหลืองมีขนตามลำตัวสั้นสีเทาอมเหลืองอันเป็นที่มาของชื่อ

มีน้ำหนักในตัวผู้ประมาณ 27–40 กิโลกรัม ตัวเมียประมาณ 14–17 กิโลกรัม ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่ 60–80 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 60–70 เซนติเมตร และอาจยาวได้ถึง 84 เซนติเมตร ความยาวหาง 40–48 เซนติเมตร อา่ยุโดยเฉลี่ย 10–20 ปี และอาจมีชีวิตอยู่ีได้นานถึง 30 ปี

พบกระจายพันธุ์ในแอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา, แทนซาเนีย, ซิมบับเว และบอตสวานา มีพฤติกรรมและอุปนิสัยคล้ายกับลิงบาบูนชนิดอื่น ๆ คือ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในทุ่งหญ้าสะวันนา และป่าโปร่ง กินอาหารได้หลากหลายทั้งพืชและเนื้อสัตว์ เช่น รากไม้, เมล็ดพืช, ใบไม้, หญ้า, ผลไม้ และสัตว์ขนาดเล็ก [3]
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/36/Papio_cynocephalus_%28Malawi%29.jpg/

ลิงบาบูน

ลิงบาบูน
ลิงบาบูน (อังกฤษ: Baboon; อาหรับ: بابون‎) เป็นสกุลของลิง ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) สกุลหนึ่ง ใช้ชื่อสกุลว่า Papio [2]

ลิงบาบูนเป็นลิงที่จัดได้ว่ามีขนาดใหญ่ แขนและขายาวเท่ากัน ทำให้เดินด้วยขาทั้ง 4 ข้างได้เป็นอย่างดี ขณะที่ส่วนหางสั้น มีร่างกายที่กำยำแข็งแรง ทำให้วิ่งได้รวดเร็วพอ ๆ กับม้า ลิงบาบูนส่วนมากจะหากินและอาศัยบนพื้นดินมากกว่าขึ้นต้นไม้และอาศัยตามแถบที่โล่งกว้างมากกว่าที่รกชัฏ โดยจะขึ้นต้นไม้เฉพาะตอนนอนเท่านั้น หากินในเวลากลางวัน มีลักษณะเด่น คือ มีใบหน้ายาวเหมือนสุนัข และมีฟันเขี้ยวที่แข็งแรงและยาวโง้ง

มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง อาจถึง 200-300 ตัว[3] มีตัวผู้ขนาดใหญ่เป็นจ่าฝูง หากินผลไม้ เมล็ดพืช ตลอดจนสัตว์ขนาดเล็กอย่างแมงป่องและแมงมุมโดยการพลิกก้อนหินหา หรือแม้กระทั่งล้มสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ไก่ฟ้า หมูป่า หรือแอนทิโลปที่เป็นตัวลูกหรือตัวขนาดเล็กกินเป็นอาหารได้ ลิงบาบูนขึ้นชื่อว่าเป็นลิงที่มีอุปนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว เนื่องจากเป็นลิงที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก โดยอาจโจมตีทำร้ายมนุษย์ได้ด้วย แต่กระนั้นก็ยังมีผู้นำมาฝึกให้เล่นละครลิงหรือละครสัตว์ได้[4]

การจำแนก[แก้]
ลิงบาบูน เป็นลิงพื้นเมืองของภูมิภาคอาหรับและแอฟริกา แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด[1]

Papio hamadryas
Papio papio
Papio anubis
Papio cynocephalus
Papio ursinus
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/20/Baboon.jpg/

ลิงแสม

ลิงแสม
ลักษณะ[แก้]
จัดเป็นลิงขนาดกลาง มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล หางยาวกว่าความยาวของลำตัว ขนตรงกลางหัวมีลักษณะตั้งแหลมชี้ขึ้น ขนใต้ท้องสีขาว โดยสีขนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ฤดูกาล และถิ่นที่อยู่อาศัย ขนาดความยาวลำตัวและหัวประมาณ 48.5 – 55 เซนติเมตร ความยาวหาง 44 – 54 ซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 3.5 – 6.5 กิโลกรัม

การแพร่กระจายพันธุ์[แก้]
มีการแพร่กระจายพันธุ์ที่ค่อนข้างกว้าง โดยพบตั้งแต่ประเทศอินเดีย, พม่า, ไทย, คาบสมุทรมลายู, เกาะสุมาตรา, เกาะบอร์เนียว, เกาะลูซอน และเกาะมินดาเนา ของฟิลิปปินส์, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้มีชนิดย่อยมากถึง 10 ชนิด[1] (ดูในตาราง)

นิเวศวิทยาและพฤติกรรม[แก้]
เป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่พบได้แทบทุกภูมิประเทศ ทั้งในป่าชายเลนใกล้ทะเล โดยลิงฝูงที่อาศัยในที่นี่จะว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง เคยมีรายงานว่าสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร หากินสัตว์ทะเลขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น กุ้ง, ปู หรือ หอย แต่บางครั้งก็พบอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นและพื้นที่สูงประมาณ 2,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล หรือพื้นที่เกษตรกรรมด้วยซึ่งมันมักจะทำลายผลิตผลทางการเกษตร ลิงแสมพยายามจะปรับตัวให้สามารถอยู่ในพื้นที่บริเวณขอบนอกของป่า มากกว่าอยู่ในป่าลึก และสามารถปรับตัวในเข้ากับมนุษย์ได้ในบางโอกาส ดั่งที่มักพบเห็นทั่วไปตามเมืองใหญ่ อาทิ ศาลพระกาฬ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี หรือ ศาลเจ้าแม่เขาสามมุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เป็นต้น ซึ่งมักจะอยู่เป็นฝูงใหญ่ อาจมีสมาชิกในฝูงได้ถึง 200 ตัว โตเต็มที่เมื่อมีอายุได้ราว 3-4 ปี ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกที่มีอายุน้อยจะเกาะติดแม่เสมอ และจัดเป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่หากเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ก็สามารถนำมาฝึกหัดให้เชื่องได้เหมือนลิงกัง (M. nemestrina) [2]

สถานะ[แก้]
ในประเทศไทย ลิงแสมจัดเป็นลิงชนิดที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด สามารถพบได้แม้กระทั่งในเขตกรุงเทพมหานคร[3] มีสถานะตามกฎหมายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9e/Crab-eating_macaques_San_Phra_Kan_Lop_Buri.jpg/

เพนกวิน

เพนกวิน
ลักษณะและพฤติกรรม[แก้]
เพนกวินมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณซีกโลกทางใต้หรือขั้วโลกใต้ เป็นนกที่บินไม่ได้ มีลักษณะเด่นคือ มีขนสีดำที่ด้านหลัง และขนสีขาวที่ด้านหน้าท้อง ซึ่งช่วยป้องกันเพนกวินจากสัตว์นักล่าต่าง ๆ เวลาว่ายน้ำ ปีกของเพนกวินมีลักษณะคล้ายครีบปลา ช่วยในการว่ายน้ำ แต่ไม่สามารถใช้ปีกในการบินเหมือนนกทั่วไป เพนกวินไม่สามารถหายใจในน้ำได้แต่สามารถกลั้นหายใจได้นานมากในน้ำ ร้อยละ 75 ของชีวิตเพนกวินจะอาศัยในน้ำ เพนกวินสามารถว่ายน้ำได้เร็วเฉลี่ยประมาณ 22- 24 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 250 เมตร ตีนของเพนกวินเป็นพังผืดเหมือนตีนเป็ด ใช้ได้ดีเวลาว่ายน้ำหรือดำน้ำ แต่เมื่อเดินบนบกแล้ว เพนกวินจะเดินตัวตรง[3] แต่จะทำให้เดินอย่างช้า ๆ ซึ่งเพนกวินมีวิธีการเคลื่อนที่บนบกที่เร็วกว่าและใช้ได้ผลดีกว่าการเดิน นั่นคือ การไถลตัวไปตามทางลาดชันหรือพื้นที่ลื่นเป็นน้ำแข็ง [4]

เพนกวินออกลูกเป็นไข่ เมื่อเพนกวินตัวเมียออกลูกจะให้ตัวผู้กกไข่ ส่วนตัวเมียจะออกไปหาอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา, ครัสเตเชียน หรือหมึก ลูกเพนกวินแรกเกิดจะมีขนสีเทา เมื่อโตขึ้นขนสีเทาจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีดำที่ด้านหลัง และขนสีขาวที่ด้านหน้าท้อง เพนกวินจะมีพฤติกรรมการทำรังที่ต่างออกไปตามแต่ละชนิด บางชนิดทำรังใกล้ทะเล แต่บางชนิดทำรังในป่ามะเลาะ[5] หรือพื้นที่ในชุมชนของมนุษย์ เช่น ใต้ถุนบ้าน หรือในสวนหลังบ้าน ก็มี[3] เพนกวินทุกชนิดจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาว ทำให้เพนกวินต้องมีชั้นไขมันที่หนาเพื่อช่วยในการกักเก็บความร้อนจากร่างกาย และเป็นอาหารในช่วงที่คลาดแคลน ขนของเพนกวินมี 2 ชั้น ชั้นในทำหน้าที่เหมือนขนของนกทั่วไป ส่วนชั้นนอกจะมีไขมันเคลือบไว้ เพื่อป้องกันน้ำ ความหนาวเย็น และลมหนาวจากภายนอก เพนกวินจะผลัดขนปีละครั้ง ขนที่เก่าและเสียหายจะหลุดออก และขนใหม่จะขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพนกวิน มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 15-20 ปี แต่บางชนิดก็อาจมีอายุที่ยาวกว่านั้น[6] ทุกชนิดจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่คล้ายนิคม ในบางครั้งอาจมีการรวมฝูงกันมากถึงจำนวนนับแสนหรือล้านตัว เพนกวินเป็นนกที่บินไม่ได้ แต่สามารถว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วมาก ซึ่งเพนกวินจะตกเป็นอาหารของสัตว์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่ เช่น วาฬออร์กา, แมวน้ำเสือดาว หรือ นกจมูกหลอดยักษ์ เป็นต้น[7]


ฝูงเพนกวินเมื่อว่ายน้ำ
เพนกวิน เป็นนกที่แพร่ขยายพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งตรงกับปลายปีของเวลาในซีกโลกใต้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อากาศยังอบอุ่นและยังหาอาหารกินได้ เพนกวินจะออกไข่และฟักให้เป็นตัวในช่วงนี้ และจะเร่งเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันฤดูหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่ทั้งพื้นดินและทะเลในซีกโลกทางใต้เป็นน้ำแข็งทั้งหมด และเป็นฤดูกาลที่ยาวนานมาก เพนกวินบางชนิด อย่างเพนกวินจักรพรรดิ (Aptenodytes forsteri) ซึ่งเป็นเพนกวินชนิดที่ใหญ่ที่สุด ในเพศผู้อาจมีน้ำหนักตัวมากได้ถึง 40 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำรองพลังงานอาหารไว้เพื่อรอรับกับฤดูหนาว[4]

นอกจากนี้แล้ว ยังมีข้อมูลจากการบันทึกโดยนักสำรวจขั้วโลกใต้ชาวอังกฤษในปี ค.ศ. 1910 ที่ศึกษาถึงพฤติกรรมเพนกวินที่อาเดลีแลนด์ พบว่า มีพฤติกรรมทางเพศที่แปลกประหลาดมาก โดยมีการพบการรักร่วมเพศ, การข่มขืน, การผสมพันธุ์โดยไม่หวังการสืบพันธุ์ รวมถึงการผสมพันธุ์กับซากเพนกวินเพศเมียที่ตายไปนานแล้วด้วย [8]

เหตุที่เพนกวินไม่สามารถบินได้ ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นเพราะความสามารถที่ดีในการว่ายน้ำและดำน้ำ จึงทำให้ปีกของเพนกวินไม่สามารถใช้ในการบินได้ เพราะการว่ายน้ำและดำน้ำใช้พลังงานที่น้อยกว่า ความสามารถในการบินก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยจากนกทะเลชนิดอื่นที่มีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับเพนกวินมากที่สุด เช่น นกทะเลปากยาว[9]

วิวัฒนาการ[แก้]

ภาพวาดของไวมานู (Waimanu spp.) บรรพบุรุษของเพนกวิน
บรรพบุรุษของเพนกวิน เป็นนกที่ปีกไม่สามารถบินได้ แต่กลับว่ายน้ำได้คล่องแคล่วที่มีชื่อว่า "ไวมานู" ที่มีชีวิตอยู่ในยุคพาลีโอซีน ประมาณ 62 ล้านปีก่อน ซึ่งฟอสซิลของไวมานู ปัจจุบันพบได้ที่นิวซีแลนด์ ไวมานูมีรูปร่างที่เพรียวยาวแตกต่างจากเพนกวินในปัจจุบันมาก[1]

สำหรับเพนกวินในยุคปัจจุบัน เป็นนกที่ถือกำเนิดมานานกว่า 40 ล้านปีก่อน จากการศึกษาไมโตคอนเดรียและดีเอ็นเอพบว่า เพนกวินสกุล Aptenodytes ซึ่งเป็นเพนกวินชนิดที่ใหญ่ที่สุด เป็นต้นสายพันธุ์ของเพนกวินทั้งหมดในปัจจุบัน ก่อนที่แต่ละสกุลหรือชนิดจะแยกสายวิวัฒนาการของตัวเองขึ้นมา[10][11]

การจำแนก[แก้]
แบ่งออกได้เป็น 6 สกุล ได้แก่

Aptenodytes J. F. Miller, 1778
Eudyptes Vieillot, 1816
Eudyptula Bonaparte, 1856
Megadyptes Milne-Edwards, 1880
Pygoscelis Wagler, 1832
Spheniscus Brisson, 1760

สัญลักษณ์ของลีนุกซ์เป็นเพนกวินที่ชื่อ "ทุก" (Tux)
และแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ประมาณ 19 ชนิด[2] หรือ 20 ชนิด[6]

และมีที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์อีกหลายสกุลและหลายชนิด (ประมาณ 40 ชนิด[6])

ความสัมพันธ์กับมนุษย์[แก้]
เพนกวินเป็นนกที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในด้านต่าง ๆ มากมาย ในอดีตเป็นนกที่มนุษย์ล่าเพื่อเอาเนื้อมาบริโภค[6] แต่ในปัจจุบันเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไว้แสดงตามสวนสัตว์หรือสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ทั่วโลก (โดยมากจะเป็นเพนกวินฮัมโบลด์) โดยสถานที่เลี้ยงเพนกวินที่มีจำนวนมากที่สุด คือ โตเกียวซีไลฟ์ปาร์ค ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[12]

และถึงถูกอ้างอิงถึงในสัญลักษณ์หรือวัฒนธรรมร่วมสมัยต่าง ๆ เช่น เป็นสัญลักษณ์ของลีนุกซ์, เป็นตัวละครฝ่ายร้ายในการ์ตูนชุด Batman ของดีซี คอมิคส์ ที่ชื่อ Penguin ที่มีต้นแบบมาจากเพนกวินจักรพรรดิ เป็นต้น[13]
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7e/Humboldtpinguin_1_db.jpg/

นกฟลามิงโก

นกฟลามิงโก
นกฟลามิงโก (อังกฤษ: Flamingo[1]; ออกเสียง  Br-Flamingo.ogg (วิธีใช้·ข้อมูล) ; เกาหลี: 붉은 황새; นกกระสาแดง[2]) เป็นนกน้ำจำพวกหนึ่ง ในวงศ์ Phoenicopteridae และอันดับ Phoenicopteriformes มี 4 ชนิดในทวีปอเมริกา และ 2 ชนิดในโลกเก่า

นกฟลามิงโก เป็นนกที่มีซากฟอสซิลสามารถนับย้อนไปไกลได้กว่า 30 ล้านปีก่อน นกฟลามิงโกอาศัยอยู่เป็นฝูงขนาดใหญ่ ซึ่งสถานที่ ๆ พบนกฟลามิงโกได้มากที่สุดในโลก คือ ทะเลสาบนากูรู ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบนากูรู ทางตอนเหนือของประเทศเคนยา ซึ่งมีจำนวนประชากรนกฟลามิงโกมากได้ถึง 1,500,000 ตัว นกฟลามิงโกเป็นนกที่บินได้เป็นระยะทางที่ไกล และมักบินในเวลากลางคืน ด้วยความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และหากมีความจำเป็นต้องบินในเวลากลางวันก็จะบินในระดับสูงเพื่อหลบเลี่ยงสัตว์นักล่า ส่วนในทวีปเอเชียสามารถพบได้ที่ทุ่งหญ้าสเตปป์แถบตอนเหนือของคาซัคสถานในภูมิภาคเอเชียกลางเท่านั้น โดยผสมพันธุ์กันในฤดูใบไม้ผลิ ก่อนอพยพไปที่อื่น [2]

นกฟลามิงโก ได้ชื่อว่าเป็นนกที่ไม่มีประสาทรับกลิ่น และเป็นนกที่ส่งเสียงดังตลอดเวลา ซึ่งลูกนกแม้แต่อยู่ในไข่ก็ยังส่งเสียงร้องแล้ว ซึ่งพ่อแม่นกจะจดจำลูกของตัวเองได้จากเสียงร้องอันนี้[3]

นอกจากนี้แล้ว นกฟลามิงโกยังเป็นนกที่ได้ชื่อว่าเป็นนกที่มีขนสีชมพู จนได้รับชื่อว่า "นกฟลามิงโกสีชมพู" ซึ่งขนของนกฟลามิงโกนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดตั้งแต่สีชมพูซีดจนถึงสีแดงเลือดหมูหรือแดงเข้ม ทั้งนี้เป็นเพราะการกินอาหารที่ได้รับสารอาหารจากกุ้งและเห็ดรามีสารประเภทอัลฟาและเบตาแคโรทีน แต่โดยมากแล้วนกที่เลี้ยงตามสวนสัตว์ขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะขาดสารอาหารเหล่านี้ ซึ่งหากให้ในสิ่งที่ทดแทนกันได้เช่น แครอท หรือบีทรูท สีขนก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม อีกทั้งยังเป็นนกที่มีพฤติกรรมยืนด้วยขาเดียวอยู่นิ่ง ๆ แช่น้ำได้เป็นเวลานานมากถึง 4 ชั่วโมง นั่นเพราะขาของนกจะได้รับจะได้รับเลือดสูบฉีดต่ออัตราการเต้นของหัวใจได้มากเท่า ๆ กับที่กล้ามเนื้อหลักได้รับ ซึ่งเลือดจะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย การที่นกฟลามิงโกมีขายาวมาก ก็ยิ่งทำให้มีพื้นที่สูญเสียความอบอุ่น อีกทั้งขาข้างที่ไม่ถูกแช่น้ำก็จะไม่เหี่ยวแห้งอีกด้วย[4]

การจำแนก[แก้]
แบ่งออกได้ทั้งหมด 6 ชนิด

Phoeniconaias G. R. Gray, 1869
Phoeniconaias minor (E. Geoffroy Saint-Hilaire, 1798) – นกฟลามิงโกเล็ก
Phoenicoparrus Bonaparte, 1856
Phoenicoparrus andinus (Philippi, 1854) – นกฟลามิงโกแอนดีน
Phoenicoparrus jamesi (P. L. Sclater, 1886) – นกฟลามิงโกเจมส์
Phoenicopterus Linnaeus, 1758
Phoenicopterus chilensis Molina, 1782 – นกฟลามิงโกชิเลียน
Phoenicopterus roseus Pallas, 1811 – นกฟลามิงโกใหญ่
Phoenicopterus ruber Linnaeus, 1758 – นกฟลามิงโกอเมริกัน[5]
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/97/Lesser-flamingos.jpg/

อันดับนกแก้ว


สำหรับความหมายอื่น ดูที่ นกแก้ว (แก้ความกำกวม)
อันดับนกแก้ว
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: 54–0 Ma
PreЄЄOSDCPTJKPgN
อีโอซีนยุคต้น[1] – ปัจจุบัน

นกแขกเต้า (Psittacula alexandri) นกชนิดหนึ่งในอันดับนี้ อยู่ในวงศ์ Psittacidae
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Aves
ชั้นฐาน: Neognathae
อันดับ: Psittaciformes
Wagler, 1830
วงศ์ใหญ่และวงศ์
Cacatuoidea (นกคอกคาทู)
Cacatuidae
Psittacoidea (นกแก้วแท้)
Psittacidae
Psittrichasiidae
Psittaculidae
Strigopoidea (นกแก้วนิวซีแลนด์)
Nestoridae
Strigopidae

แผนที่การกระจายพันธุ์
นกแก้ว หรือ นกปากขอ (อังกฤษ: Parrot, ภาษาไทยถิ่นเหนือ: นกแล) เป็นอันดับของนกอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psittaciformes

เป็นนกที่มีความแตกต่างกันมากทางสรีระ คือมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงใหญ่ (19-100 เซนติเมตร) มีหัวกลมโต ลำตัวมีขนอุยปกคลุมหนาแน่น ขนมีแกนขนรอง ต่อมน้ำมันมีลักษณะเป็นพุ่มขน ผิวหนังค่อนข้างหนา มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากนกอันดับอื่น ๆ คือ จะงอยปากที่สั้นหนา และทรวดทรงงอเป็นตะขอหุ้มปากล่าง มีความคมและแข็งแรง อันเป็นที่ของชื่อสามัญ ใช้สำหรับกัดแทะอาหารและช่วยในการปีนป่าย เช่นเดียวกับกรงเล็บ[2] รูจมูกไม่ทะลุถึงกัน สันปากบนหนาหยาบและแข็งทื่อ ขนปลายปีกมี 10 เส้น ขนกลางปีกมี 8-14 เส้น ไม่มีขนกลางปีกเส้นที่ 5 ขนหางมี 12-14 เส้น หน้าแข้งสั้นกว่าความยาวของนิ้วที่ยาวที่สุด แข้งปกคลุมด้วยเกล็ดชนิดเกล็ดร่างแห นิ้วมีการจัดเรียงแบบนิ้วคู่สลับกัน คือ เหยียดไปข้างหน้า 2 นิ้ว (นิ้วที่ 2 และ 3) และเหยียดไปข้างหลัง 2 นิ้ว (นิ้วที่ 1 และนิ้วที่ 4) ซึ่งนิ้วที่ 4 สามารถหมุนไปข้างหน้าได้

เป็นนกที่อาศัยและหากินบนต้นไม้ กินผลไม้และเมล็ดพืช บินได้ดีและบินได้เร็ว พบอาศัยอยู่เป็นคู่หรือเป็นฝูง ทำรังตามโพรงต้นไม้ ไข่สีขาว ลักษณะทรงกลม วางไข่ครั้งละ 2-6 ฟอง ลูกนกแรกเกิดมีสภาพเป็นลูกอ่อนเดินไม่ได้ พบกระจายพันธุ์ตามเขตร้อนทั่วโลก ในบางชนิดมีอายุยืนได้ถึง 50 ปี โดยเฉพาะนกแก้วชนิดที่มีขนาดใหญ่ และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่า นกแก้วขนาดใหญ่มีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่ากับเด็กอายุ 4 ขวบ[2]

เป็นนกที่มนุษย์รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องด้วยนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถฝึกหัดให้เลียนเสียงตามแบบภาษามนุษย์ในภาษาต่าง ๆ ได้ ประกอบกับมีสีสันต่าง ๆ สวยงามตามชนิด ซึ่งนกแก้วไม่มีกล่องเสียง แต่การส่งเสียงมาจากกล้ามเนื้อถุงลมและแผ่นเนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะส่วนนี้เกิดการสั่นสะเทือน จึงเปล่งเสียงออกมาได้[2][3] แบ่งออกได้ราว 360 ชนิด ใน 80 สกุล[4]

ในประเทศไทยพบเพียงวงศ์เดียว คือ Psittacidae หรือนกแก้วแท้ พบทั้งหมด 7 ชนิด ใน 3 สกุล อาทิ นกแขกเต้า (Psittacula alexandri), นกแก้วโม่ง (P. eupatria) เป็นต้น[3]

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/8e/Psittacula_alexandri_qtl1.jpg/อย่างไรก็ตาม มีนกเพียงชนิดเดียวในอันดับนี้ที่บินไม่ได้ และหากินในเวลากลางคืนด้วย คือ นกแก้วคาคาโป (Strigops habroptila) ที่พบเฉพาะบนเกาะนิวซีแลนด์เท่านั้น โดยเป็นนกรูปร่างใหญ่ บินไม่ได้ นอกจากจะหากินในเวลากลางคืนแล้ว ยังมีเสียงร้องประหลาดที่คล้ายกบหรืออึ่งอ่างอีกด้วย ปัจจุบันมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์มากแล้ว [5]

ประวัตินกนางแอ่น

นกนางแอ่น หรือ นกอีแอ่น[1] หรือ จัดอยู่ในประเภทสัตว์มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์ปีก จัดเป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Hirundinidae
พฤติกรรมนกนางแอ่น
มีพฤติกรรมสร้างรังทดแทน (re-nest) และสร้างในที่เดิมกับรังที่ถูกเก็บไป ถ้าไม่เก็บ นกก็จะสร้างทับรังเดิม
การออกหากินและกลับรังเป็นเวลา เช่น เวลากลับรัง มักได้แก่ 11.30 14.00 17.30 หรือ 18.30 แล้วแต่ท้องถิ่น หรือฤดูกาล
บินตลอดเวลาไม่เกาะที่ใดจนกว่าจะกลับถึงรัง
บินในที่มืดได้คล่องแคล่ว แม่นยำ จากการส่งเสียงสะท้อนนำทาง (Echolocation)
รักเดียวใจเดียว จะครองคู่กันไปตลอด
เป็นสัตว์สังคม ดำรงชีวิตแบบรวมหมู่ เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีจ่าฝูงด้วย
บินด้วยความเร็วสูง 89-100 กม./ชม.
อายุทั่วไป 6-7 ปี อายุ 3 ปีจะสร้างรังได้ดีที่สุด
จะผสมพันธุ์กันในที่อยู่อาศัย ทำรังปีละ 3 รอบ ออกไข่รอบละ 2 ฟอง
วันที่มีแดดจ้า จะหากินไกล วันฟ้ามืดฝนตกจะบินใกล้ ฝนตกหนักจะไม่ออกหากิน
การสืบพันธุ์[แก้]
นกนางแอ่น หรือนกอีแอ่น ผสมพันธุ์ปีละ 3 ครั้งในกลางเดือนมกราคม, ต้นเดือนพฤษภาคม, กลางเดือนสิงหาคม เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะรีบทำรังทันที ออกไข่ครั้งละ 1-2 ฟอง กกไข่และเลี้ยงลูกจนรอดชีวิตในระยะเวลา 3 เดือน จากนั้นก็จะบินออกจากรังไปหาอาหารตั้งแต่ตีห้าไปจนพลบค่ำ พ่อและแม่นกสร้างรังด้วยน้ำลายเป็นสีขาวลักษณะเหมือนถ้วย นำหนักรังเฉลี่ย 8 กรัม ใช้เวลาสร้าง 30-45 วัน หลังสร้างรังเสร็จ จะผสมพันธุ์ในเวลากลางคืน หลังจากนั้น 5 วันจะเริ่มวางไข่ใบแรกและวันที่ 8 จะวางไข่ใบที่ 2 (ครั้งละ 2 ฟอง) น้ำหนัก 1.2 กรัม ไข่จะฟักในเวลา 21-29 วัน 1 สัปดาห์หลังจากการฟัก ขนจะเริ่มขึ้น และอายุ 2 สัปดาห์จะเริ่มเกาะรัง พ่อและแม่นกจะหาอาหารมาให้ จนลูกนกมีขนขึ้นเต็มเมื่ออายุ 45 วัน (อัตราการรอดของนกที่อาศัยตามถ้ำธรรมชาติ 20 % แต่อัตราการรอดของนกที่อาศัยตามบ้านนกหรือคอนโดนกมีถึง 64.4 % ) พร้อมเริ่มผสมพันธุ์ เมื่ออายุ 8 เดือนผสมพันธุ์ปีละประมาณ 3 ครั้ง มีชีวิตได้ถึง 12-15 ปี ถ้ามีการเก็บรังก่อนที่จะวางไข่ พ่อและแม่นกจะสร้างรังขึ้นใหม่และเลื่อนการวางไข่ออกไป (ใน 1 ปีจะได้รัง 2-3 รัง ต่อ 1 คู่)
อาหารของนกนางแอ่น[แก้]
นกนางแอ่นจะบินโฉบเฉี่ยวกินสัตว์จำพวกแมลงที่บินอยู่ในอากาศ โดยใช้จะงอยปาก
แมลงที่กิน ได้แก่ มดที่มีปีก แมงเม่า แมงปอ ด้วงปีกแข็ง มวน เพลี้ย ยุง แมลงวัน แมลงบนผิวน้ำ แมลงตามพุ่มไม้
นกนางแอ่น 1 ตัว จะกินแมลงได้ 1 - 2 กรัม หรือ แมลงประมาณ27 - 32 ตัว
ศัตรูของนกนางแอ่น[แก้]
มนุษย์
นกเค้าแมว
งูเหลือม งูหลาม งูเห่าขี้เถ้า งูเขียวหางไหม้
ตุ๊กแก
แมลงสาบ
ลิงแสม
ค้างคาว
ตะกวด ตัวเงินตัวทอง
เหยี่ยว นกเขา
นกอินทรีย์ นกกา
ความเชื่อ[แก้]
ตามความเชื่อของชาวม้ง ในตอนใต้ของจีน เชื่อว่านกนางแอ่นเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล และคู่นกนางแอ่นจะซื่อสัตย์ต่อกันไปจนวันตาย นำซึ่งความสุขมาสู่ชีวิตสมรสและชีวิตครอบครัว การมาถึงของนกนางแอ่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงฤดูกาลไถหว่าน โดยจะยินยอมให้นกนางแอ่นเข้ามาทำรังที่เพดานบ้านของตนได้ตามสบาย[2]
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/0f/Red-rumpedSwallow01.jpg/

ประวัติ LINE

เคยสงสัยกันบ้างมั้ยคะว่าแอพพลิเคชั่น LINE ที่เราใช้แชทกับเพื่อนในโทรศัพท์มือถือ (หรือในคอมพิวเตอร์) นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
https://i0.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/
LINE Application นั้นเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขี้นในช่วงกลางปี 2010 โดยการร่วมมือของบริษัท Naver Japan Corporation และบริษัท livedoor โดยมี NHN Japan เป็นผู้พัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ของไลน์ และในส่วนของการตลาดด้านธุรกิจนั้นยกให้บริษัทแม่ที่เกาหลี NHN Corporation จัดการ หลังจากที่เปิดตัวได้เพียงไม่นาน ก็ได้รับการตอบรับถึงหลายสิบล้านยูสเซอร์ในญี่ปุ่น ประเด็นแรกที่ใช้ในการสร้างโปรแกรมแชท LINE ขึ้นมาก็มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ภูมิภาค Tohoku เมื่อต้นปี 2011 นั่นเอง ในตอนนั้นระบบการติดต่อทางการโทรศัพท์ล่มอย่างไม่เป็นท่า ทำให้ NHN Japan ตัดสินใจออกแบบ App ที่สามารถใช้ได้ทั้งบนมือถือ บนแท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์พีซี ซึ่งจะทำงานบนเครือข่ายข้อมูลที่สามารถแชทตอบโต้ได้รวดเร็วและต่อเนื่อง
https://i2.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/
ด้วยความที่ไลน์มีคุณสมบัติของโปรแกรมแชทครบถ้วน ตั้งแต่ แชท ส่งไฟล์รูป ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง ระบบการค้นหาเพื่อนด้วย QR Code หรือจะเกมไว้คลายเครียด ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของแอพพลิเคชั่นนี้ก็ว่าได้ค่ะ นั่นก็คือ “Sticker” นั่นเอง และในตอนนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง “สติกเกอร์” กันนะคะ โดยจะขอแนะนำตัวการ์ตูนหลักๆ ของสติกเกอร์ในไลน์ที่เป็นมาสค็อตที่เห็นกันบ่อยๆ และคิดว่าทุกคนต้องเคยใช้มาแล้วมาเริ่มจาก
https://i1.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ Moon เป็นสติกเกอร์หัวกลม ตัวสีขาว เป็นสติกเกอร์พื้นฐานของผู้เล่นไลน์กันเลยทีเดียว เพราะมีแทบจะทุกอารมณ์ที่ผู้เล่นต้องการ สติกเกอร์ตัวนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้เล่นไลน์ต้องใช้กันอย่างน้อยคนละ 2 ครั้งแน่ๆ
https://i1.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ Cony  เป็นสติกเกอร์กระต่ายสีขาว หูด้านในสีชมพู ด้วยความที่เป็นกระต่ายและแสดงอีโมชั่นผ่านท่าทางและใบหน้าออกมาได้น่ารัก หลายๆ คนจึงชอบใช้สติกเกอร์โคนี่กัน โคนี้มักจะมาพร้อมกับบราวน์
https://i1.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ Brown เป็นหมีสีน้ำตาล หน้านิ่งแต่แสดงอารมณ์ออกมาทางการกระทำได้น่ารักมากๆ ค่ะ แต่ก็มีกลุ่มคนไม่น้อยที่ชื่นชอบความแบ๊วซื่อๆ ของเจ้าสติกเกอร์ตัวนี้ และบราวน์มักจะมีสติกเกอร์คู่กับโคนี่
 https://i1.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ James เป็นสติกเกอร์หนุ่มเจ้าสำอาง มีจุดเด่นคือเป็นคนจริงๆ และผมสีทอง มาในชุดเสื้อขาว กางเกงดำ ชอบทำหน้าแบบหลงตัวเอง เจมส์เป็นอีกหนึ่งสติกเกอร์ที่เป็นที่นิยมมากเพราะ “ความฮา” ของเค้านี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะทำหน้าหล่อ หรือแม้แต่ท่านอนตายแบบสิ้นหวัง เจมส์มีหมด
https://i1.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ และ Sally เป็ดเหลืองตัวจิ๋วมักจะมาแจมกับคาแร็กเตอร์ตัวอื่นๆ อยู่เสมอ
https://i0.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ นอกจากนี้ คาแรคเตอร์หลักของไลน์ยังถูกนำไปเป็นอนิเมชั่นในชื่อ Line Offline Salaryman Stamp

อนิเมไลน์นี้เริ่มฉายเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2013 ทางโตเกียวทีวี ใน 1 ตอนจะมีความยาวเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ช่วงเวลาการฉายอยู่ที่ 01.30 – 01.35 น. ตามเวลาญี่ปุ่นนะคะ คาแร็คเตอร์ไลน์แต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นพนักงานเงินเดือน ปัจจุบันมีหลายตอนแล้ว
https://i2.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ ล่าสุดนี้ ทาง NAVER ได้มีการฉลองให้กับผู้ใช้งานไลน์เกิน 100 ล้านคน ด้วยการแจกสติกเกอร์ 7 วัน 7 แบบให้ไปสะสมกับฟรีๆ โดยไม่เสียเงินค่ะ โดยวิธีการโหลดคือ 1 วันต่อ 1 คาแร็คเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 18-24 มกราคม 2556 ลายของสติกเกอร์ที่แจกมีดังนี้ค่ะ
https://i0.wp.com/i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/entertainment%20news/Line/ Moon Special Edition / Cony Special Edition / Brown Special Edition / Don’t Lose Your Soul / Hurricane Project / Jungle High / Listen to Your Heart
LINE เผยประวัติความสำเร็จและข้อมูลสถิติล่าสุดของผู้ใช้งานทั่วโลก
1. จำนวนผู้ใช้
– ญี่ปุ่น: 41.51 ล้าน, ไทย: 12.27 ล้าน, ไต้หวัน: 11.83 ล้าน, ประเทศอื่นๆ: 34.39 ล้าน
– สัดส่วนระหว่างญี่ปุ่น ต่อ ประเทศอื่นๆ = 4:62. ท๊อป 5 ประเทศ (จากจำนวนผู้ใช้มากสุด)
– ญี่ปุ่น ไทย ไต้หวัน เกาหลี สเปน
[adsense]3. ประเทศและภูมิภาคที่ LINE ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแอพฯ อันดับ 1 โดย App Store/Google Play (ในประเภทแอพฯ ฟรี)
– เอเชีย
– ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว คีร์กิซสถาน ตุรกี บาร์เรน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต อิสราเอล การต้าร์ ซาอุดิ อาเรเบีย โอมาน
– ยุโรป
– รัสเซีย เบลารูส สเปน สวิสเซอร์แลนด์
– อเมริกาเหนือ
– โดมินิแคน รีพับลิค เอล ซาวาดอร์ ปานามา ฮอนดูรัส
– อเมริกาใต้
– เอควาดอร์ เวเนซูเอล่า อาร์เจนติน่า เปรู ชิลี โบลิเวีย ปารากวัย อุรุกวัย
– แอฟริกา
– มาลิ แองโกล่า
– โอเชียน่า
– ปาปัวนิวกินี
4. ความถี่ในการใช้งาน
– 80.3% ต่อเดือน (นับถึงเดือนธันวาคม 2555)

5. จำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานสูงสุดต่อวัน
– 600,000 คน (นับถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2555)

6. รางวัลที่ได้รับ
– รางวัล iTunes ยอดเยี่ยมประจำปี 2555 : อันดับ 1 ประเภทฟรีแอพลิเคชั่น (ประเทศญี่ปุ่น)
– รางวัล iF ดีไซน์ ปี 2556 : รางวัลสื่อโฆษณา
– รางวัลดีไซน์ดีเยี่ยมเหรียญทอง ปี 2555
– รางวัลเทรนด์ Shogakukan Dime ปี 2555
– รางวัลทีมงานยอดเยี่ยม ปี 2555
– รางวัล AMD Digital Contents ครั้งที่ 17 ประจำปี 2556
– รางวัล Nikkei Sangyo Shimbun: Nikkei Superior Products Service ปี 2555
– รางวัล Nikkei MJ Hit Products ปี 2555
– รางวัล Nikkei Trendy: Hit Products ปี 2555 : อันดับ 2 จาก 30 ลำดับ
– รางวัล Top Worldwide in Non-Game Apps by Monthly Revenues for iOS/Google Play (พฤศจิกายน 2555)
– รางวัล elEconomista: Nominated for Best Technology (ประเทศสเปน)
– รางวัล EL PAIS: Nominated for Best Trend (ประเทศสเปน)

7. ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแอพฯของ LINE
– มีจำนวนทั้งหมด 24 แอพฯ (ไม่รวมแอพฯบนเว็บไซต์)
– จำนวนยอดดาวน์โหลดสูงถึง 100 ล้าน

8. อันดับความนิยมของสติ๊กเกอร์ทั่วโลก
https://i2.wp.com/www.flashfly.net/wp/wp-content/uploads/2013/01/ ประวัติความสำเร็จของ LINE
https://i0.wp.com/www.flashfly.net/wp/wp-content/uploads/2013/01/

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเจ้าของ Facebook.com เศรษฐีเด็กที่รวยเร็วที่สุดในโลก

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเจ้าของ Facebook.com เศรษฐีที่เด็กที่รวยเร็วที่สุดในโลก
ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป  ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่มด้วยอายุเพียง  ๒๐ ปี  เท่านั้นเขาสร้างเนื้อสร้างตัวรวยเร็วที่สุด  เท่าที่นิตยสาร  Forbes เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง  !! ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า  ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท  ขึ้นแท่นเป็น มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก  ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้ง ของตนเอง  โดยใช้เวลาเพียงแค่  ๖ ปี เท่านั้นเอง !! หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้  คือ   มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก !! ผู้สร้าง   Facebook.com  ให้โลกได้รู้จัก  และเป็นเครือข่าย สังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้
มารู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก  สักเล็กน้อย
https://i0.wp.com/www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto19/
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก  (Mark Elliot Zuckerberg) มีเชื้อสายยิว – อเมริกัน  เกิดเมื่อวันที่ ๑๔  พฤษภาคม  ๒๕๒๗  (ปัจจุบันอายุ๒๖ ปี)  (คนเก่งระดับโลก เช่น ไอน์สไตน์, ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมี เชื้อสายยิว – ผู้เขียน) เติบโตในย่าน  Dobbs Ferry  นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลาย ที่ Phillips Exeter Academy ในปี  ๒๕๔๕


สมัยเรียนไฮสกูล  ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่ชั้น  ป. ๖  เขากับเพื่อนสร้าง  โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ใช้  Winamp  และ  MP3  และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไป  กลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙  ที่ฮาร์เวิร์ด ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้

โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษาฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับการใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเองในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ บางแหล่งข่าวระบุว่าซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
https://i2.wp.com/www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto19/
แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษาราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมาซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังมหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือนสถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย
ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทันฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ดตั้งแต่นั้น

Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ  และเข้าถึงทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัวทั่วไปต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชนในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จักคนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยากจะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น

ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ  สำนักงาน Facebookแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto  นับจากนั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Altoจำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า “urban campus” หรืออาณาจักรวิทยาลัย
https://i0.wp.com/www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto19/
จดหมายเปิดผนึกจาก  Mark Zuckerberg  เมื่อวันที่  ๒ ธันวาคม  ๒๕๕๒ ที่น่าสนใจ  เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต

ลักษณะการทำงานของ  Facebook

Facebook  เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗  โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก  ซึ่งขณะนั้นเป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่  ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง  “ฮาร์วาร์ด”
เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัยโดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและ
รูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลกเข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน  เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน

ลักษณะการทำงานของ  Facebook

มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะเข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ  Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์ เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกันมา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ  My space  เว็บไซต์เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้   แต่  Facebook มีมากกว่านั้นความโดดเด่นของ  Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกันในการลงทะเบียนและมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลกใบนี้

นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook  ยอดเยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ “เด็กดี” ขณะที่  My space เหมาะสำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน
ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัท ออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่า สูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg ก่อนหน้านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยากได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง   ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม  ๒.๖ พันล้าน ดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า

จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกต ว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว   ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน

ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์

บิลล์ เกตส์  ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย  เพื่อมาก่อตั้งไมโครซอฟท์  เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน  ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่  ๑.๖  %  เมื่อปลายปี  ๒๕๕๐ต้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคนขณะนั้น  รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้  โดยสามารถทำเงินเพียง  ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง  ๒๐๐  ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น  ๑,๕๐๐  ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน ช่วงเวลานั้น  มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า  ไมโครซอฟท์คงกินยาผิด ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น  แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทาง ถูกว่า  เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก  เมื่อเทียบกับ สิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ

นั่นคือ  การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล  จากการเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ  และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้าไม่ถึง

ขายหุ้นให้กับ  DST  สัญชาติรัสเซีย

นอกจากนี้  ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ  Facebook  ก็คือตกลง ขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย “ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์”  หรือ  DST  เพื่อแลกกับการเจาะตลาด Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก  ซึ่ง  DST เป็นเจ้าของธุรกิจ และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน  ๒๐๐  ล้านดอลลาร์สหรัฐ  แลก เปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่  ๑.๙๖ %  ของหุ้น Facebook  ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่า รวม  ๑๐,๐๐๐  ล้านดอลลาร์สหรัฐ  พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ด บริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร  ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ Facebook  ตลอดมา
https://i1.wp.com/www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto19/
ชีวิตส่วนตัว ของ Mark  Zuckerberg
https://i0.wp.com/www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto19/
ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก  แต่ทุกวันนี้  CEO หนุ่มแห่ง  Facebook  ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิมเขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรดยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล อัลโต  ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์  ในรัฐแคลิฟอร์เนีย  เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้งFacebook ใหม่ ๆ  ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก  โต๊ะทำงานตัวเดียว กับเก้าอี้สองตัว

ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี  ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชามกระดาษกับช้อนพลาสติก และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน !

5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!

ร้านลูกไก่ทอง เป็นร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นของตัวเองไม่เหมือนใคร โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณแม่และลูกที่รักการทำอาหาร แต่ละเมนูถูกปรุงด้วยจิตวิญญาณและความใส่ใจในการทำอาหาร และแสวงหาวัตถุดิบที่ดีเลิศมาปรุงรสชาติในแต่ละจาน ทำให้ทุกๆ คำที่รับประทานคือทุกจานที่ใส่ใจ เสมือนคุณคือหนึ่งในครอบครัวของเรา หลังจากอิ่มเมนูคาวก็มีเมนูขนมหวานปังชา น้ำแข็งใส ที่ราดด้วยชาเย็นสูตรเด็ด ใครที่ขาดหวานเมนูนี้จะเติมความหวาน พาคุณฟินได้อย่างแน่นอน..
5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ
ที่ตั้ง : Emquartier (Helix quarter), ทองหล่อ ซ.13 และ Siam paragon
ราคา : เล็ก 175 บาท ใหญ่ 295 บาท
เวลา : ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น.
ภาพจาก : Facebook/Lukkaithong
อาฟเตอร์ ยู เป็นร้านขนมหวานที่หลายๆ คนรู้จักกันดี ไม่ว่าจะสาขาไหนก็ต่อคิวกันยาวเหยียด และชั่วโมงนี้หากใครยังไม่ได้ไปชิม Strawberry Cheese Cake Kakigori น้ำแข็งไสเกล็ดหิมะรสนมมีชีสเค้กผสม ด้านล่างจะมีครับเบิ้ล ส่วนด้านบนน้ำแข็งไสจะราดท็อปปิ้งด้วยซอส และลูกสตรอว์เบอร์รี่ชิ้นใหญ่ให้ดูน่าทาน รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ที่แค่นึกภาพตามก็ชวนหิวแล้วสำหรับเมนูใหม่ของ After You เมนูนี้...
5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ เวลา : ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น.
ภาพจาก : Facebook/Afteryou
ฮอลลี่ คอฟฟี่ ที่มาพร้อมกับเมนูน้ำแข็งใสผสมนม สไตล์เกาหลี ด้านบนและข้างในจะมีชีสเค้กนุ่ม ราดด้วยนมข้น ปิดท้ายด้วยยท็อปปิ้งสตอเบอรี่ลูกใหญ่ๆ สำหรับเมนูนี้เหมาะสำหรับทานกิน 3 - 5 คนเลยทีเดียว ใครที่ชอบเมนูน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี รับรองมาร้านนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ
ที่ตั้ง : ห้างสยามแสควร์ วัน ชั้น 4
เวลา : ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น.
ภาพจาก : Facebook/Hollys Coffee

 สโนว์ฟอล เฮ้าส์ ร้านเมนูเย็นๆ ที่หลากหลายกับน้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี ที่ภายในร้านเน้นการตกแต่งที่เสมือนนั่งรับประทานอาหารอยู่ท่ามกลางเมืองหิมะยังไงยังงั้น เรียกว่านอกจากเมนูอาหารจะเย็นแล้ว บรรยากาศภายในร้านยังเย็นชื่นใจสุดๆ อีกด้วยสำหรับร้านนี้

5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ  5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ
ที่ตั้ง : ห้างสยามแสควร์ วัน ชั้น 4
เวลา : ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น.
โทรศัพท์ : 02-245-0797, 02-002-4022
ภาพจาก : Facebook/Snowfall House
ร้านสคูลฟู้ด เป็นร้านอาหารที่ให้บริการทั้งเมนูคาว และเมนูหวาน โดยขนมหวานปิดท้ายแนะนำเป็นเมลอน บิงซู น้ำแข็งใสสไตล์เกาหลี ที่มาเพิ่มความหวานและความชื่นใจด้วยผลไม้สุดหวานฉ่ำอย่างเมลอน ใครที่เหนื่อยๆ จากการทำงานมาทั้งวัน จัดเมนูนี้ไปรับรองหายเหนื่อยแน่นอน...
5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ 5 เมนูน้ำแข็งใสแนวใหม่ ใสใสวัยรุ่นชอบ!!กรุงเทพฯ
ที่ตั้ง : 540 เมอร์เคียว ทาวเวอร์ ชั้น 3 ถนนเพลินจิต ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ : 085-4847373, 02-251-1432
ภาพจาก : Facebook/School Food